Knowledge
โรงงานพลาสติก ขวดพลาสติก บรรจุภัณฑ์ | K.V.J. Union Co., Ltd.

News & Updates

Archive for Knowledge

วิธีทำผงโปรตีนออร์แกนิก (Homemade Organic Protein Powder Recipe)

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบในปัจจุบัน ผงโปรตีนได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ควบคุมน้ำหนัก หรือเสริมสุขภาพ ผงโปรตีนถือเป็นตัวช่วยที่สะดวกและง่ายต่อการได้รับสารอาหารที่จำเป็น ช่วยสนับสนุนการสร้างกล้ามเนื้อ การฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกาย และแม้กระทั่งเป็นมื้ออาหารทดแทนสำหรับคนที่มีเวลาน้อย

สูตรนี้ช่วยให้คุณสามารถทำผงโปรตีนออร์แกนิกที่สะอาดและมีประโยชน์ได้เองที่บ้าน โดยไม่มีสารเติมแต่งหรือส่วนผสมสังเคราะห์ และยังสามารถนำไปใช้ในสมูทตี้ เชค หรือขนมอบได้ตามความชอบ มาลองทำกันเลย!

สูตรผงโปรตีนออร์แกนิก-Organic-Protein-Powder-Recipe

สูตรผงโปรตีนออร์แกนิกโฮมเมด

ปริมาณ: ~3 ถ้วย
เวลาเตรียม: 10 นาที

ส่วนผสมผงโปรตีนออร์แกนิก:

  1. แหล่งโปรตีนหลัก (ให้โปรตีน):
    • ข้าวโอ๊ตออร์แกนิก 1 ถ้วย (100 กรัม) (หรือแป้งข้าวโอ๊ตออร์แกนิก)
      สารอาหาร: คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน (4 กรัมต่อ 100 กรัม) ใยอาหาร เหล็ก แมกนีเซียม และวิตามินบี
      ประโยชน์: ให้พลังงานยาวนาน สนับสนุนสุขภาพหัวใจ และช่วยย่อยอาหาร
    • อัลมอนด์ออร์แกนิก 1 ถ้วย (100 กรัม) หรือแป้งอัลมอนด์ออร์แกนิก
      สารอาหาร: ไขมันดี โปรตีน (21 กรัมต่อ 100 กรัม) วิตามินอี แมกนีเซียม และแคลเซียม
      ประโยชน์: ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ สนับสนุนการทำงานของสมอง และเสริมสร้างกระดูก
    • ถั่วเลนทิลออร์แกนิก 1 ถ้วย (100 กรัม) ถั่วชิกพี หรือถั่วแยกเปลือก (อบเพื่อเพิ่มรสชาติ)
      สารอาหาร: โปรตีนสูง (24 กรัมต่อ 100 กรัม) ใยอาหาร เหล็ก โฟเลต และโพแทสเซียม
      ประโยชน์: สนับสนุนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการย่อยอาหาร และเพิ่มพลังงาน
  2. ส่วนผสมปรุงรส (ตามความชอบ):
    • ผงโกโก้ออร์แกนิกไม่หวาน 2 ช้อนโต๊ะ
      สารอาหาร: สารต้านอนุมูลอิสระ (ฟลาโวนอยด์) เหล็ก และแมกนีเซียม
      ประโยชน์: ช่วยให้อารมณ์ดี เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และส่งเสริมสุขภาพสมอง
    • อบเชยออร์แกนิก 1 ช้อนชา
      สารอาหาร: สารต้านอนุมูลอิสระ แมงกานีส และแคลเซียม
      ประโยชน์: ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดการอักเสบ และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
    • ผงวานิลาออร์แกนิก 1 ช้อนชา หรือฝักวานิลาออร์แกนิก 1 ฝัก (ขูดเนื้อออก)
      สารอาหาร: สารต้านอนุมูลอิสระ
      ประโยชน์: เพิ่มกลิ่นหอมและช่วยให้ผ่อนคลาย
  3. สารให้ความหวาน (ตามความชอบ):
    • น้ำตาลมะพร้าวออร์แกนิก 2-3 ช้อนโต๊ะ สตีเวียออร์แกนิก หรือสารสกัดจากหล่อฮังก้วย
      สารอาหาร: แร่ธาตุ (น้ำตาลมะพร้าวมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม)
      ประโยชน์: ให้ความหวานตามธรรมชาติ โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
  4. ตัวเสริมคุณค่า (เพิ่มโภชนาการ):
    • เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ หรือเมล็ดกัญชาออร์แกนิก 2 ช้อนโต๊ะ
      สารอาหาร: กรดไขมันโอเมก้า-3 โปรตีน (17 กรัมต่อ 100 กรัมสำหรับเมล็ดกัญชา) ใยอาหาร และแคลเซียม
      ประโยชน์: ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ลดการอักเสบ และช่วยในการย่อยอาหาร
    • ผงนมออร์แกนิก 2 ช้อนโต๊ะ หรือผงนมมะพร้าวออร์แกนิก
      สารอาหาร: แคลเซียม โปรตีน และไขมันดี
      ประโยชน์: เสริมสร้างกระดูกและเพิ่มความเนียนนุ่มในเนื้อสัมผัส
    • สาหร่ายเกลียวทองออร์แกนิก หรือผงมะรุมออร์แกนิก 1 ช้อนโต๊ะ
      สารอาหาร: โปรตีนสูง (57 กรัมต่อ 100 กรัมสำหรับสาหร่ายเกลียวทอง) วิตามินบี เหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ
      ประโยชน์: ช่วยล้างพิษ เพิ่มพลังงาน และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน

วิธีทำผงโปรตีนออร์แกนิก:

  1. เตรียมส่วนผสม: คั่วถั่วอัลมอนด์และถั่วเลนทิลในกระทะแห้งด้วยไฟอ่อน เพื่อเพิ่มรสชาติ (เลือกทำตามความชอบ) แล้วปล่อยให้เย็นสนิท บดข้าวโอ๊ต ถั่ว และถั่วเลนทิลด้วยเครื่องปั่นหรือเครื่องบดความเร็วสูงจนเป็นผงละเอียด
  2. ผสม: ผสมส่วนผสมทั้งหมดในชามขนาดใหญ่ ใส่สารปรุงรส สารให้ความหวาน หรือส่วนเสริมโภชนาการตามที่ต้องการ
  3. ร่อน: ใช้กระชอนร่อนเพื่อกำจัดส่วนที่หยาบ หากมีเศษหยาบให้บดซ้ำ
  4. เก็บรักษา: เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทในที่แห้งและเย็น สามารถเก็บได้นานถึง 1 เดือน

ข้อมูลในบทความนี้จัดทำเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่สามารถแทนคำแนะนำทางการแพทย์ได้ การใช้สูตรนี้เป็นความรับผิดชอบของคุณเอง หากคุณมีอาการแพ้หรือกังวลเกี่ยวกับส่วนผสมใด ๆ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนผสมนั้นเหมาะสมกับคุณหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้งาน

กระปุก HDPE สำหรับเก็บผงโปรตีน

เพื่อรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของผงโปรตีนที่คุณทำเอง การเลือกภาชนะที่เหมาะสมสำหรับการจัดเก็บเป็นสิ่งสำคัญ ขวด HDPE (High-Density Polyethylene) เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเก็บรักษาผงโปรตีนของคุณด้วยเหตุผลดังนี้:

กระปุกบรรจุผง-1kg-2000cc

  1. ป้องกันความชื้นและอากาศ: ขวด HDPE มีคุณสมบัติป้องกันอากาศและความชื้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผงโปรตีนจับตัวเป็นก้อนหรือสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ
  2. ปลอดภัยต่อสุขภาพ: HDPE เป็นพลาสติกชนิดปลอดภัยที่ไม่มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อนในอาหาร
  3. น้ำหนักเบาและทนทาน: ขวด HDPE มีน้ำหนักเบาและทนทานต่อการแตกหัก ทำให้ง่ายต่อการจัดเก็บและพกพา
  4. ป้องกันแสง UV: สีทึบของขวด HDPE ช่วยป้องกันแสง UV ซึ่งอาจลดคุณภาพของสารอาหารในผงโปรตีน
  5. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ขวด HDPE สามารถรีไซเคิลได้ จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เราให้บริการ กระปุก HDPE คุณภาพสูงหลากหลายขนาด ที่เหมาะสำหรับการจัดเก็บผงโปรตีนหรือสินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการความปลอดภัยและคุณภาพ ติดต่อเราเพื่อเลือกสินค้าที่เหมาะกับคุณที่สุด!

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ผลกระทบของแสงแดดและรังสี UV ต่อเครื่องสำอางและสารเคมี: ทำไมไม่ควรใช้ขวด PET แบบใส

เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลมีความไวต่อปัจจัยต่างๆ จากสภาพแวดล้อม เช่น แสง ความร้อน และอากาศ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสื่อมสภาพและลดประสิทธิภาพ คือการสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งสามารถทำให้ส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพภายในผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ สารบางตัว เช่น วิตามิน (เช่น วิตามิน C) สารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากพืชมีความไวเป็นพิเศษต่อการเสื่อมสภาพเมื่อได้รับแสง

ขวด-PET-แบบใส-ผลกระทบของแสงแดดและรังสี-UV

สารที่ไวต่อแสงแดดและรังสี UV

หลายส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีความไวสูงต่อแสงและรังสี UV ต่อไปนี้คือ 5 สารที่พบได้บ่อยที่สุดในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่อาจเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสง:

  1. วิตามิน C (Ascorbic Acid): วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับสีผิวให้กระจ่างใส อย่างไรก็ตาม วิตามิน C เสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับแสงแดดและอากาศ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงและกลายเป็นสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
  2. เรตินอล (Retinol): เรตินอลเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิว แต่เมื่อสัมผัสกับแสง UV จะทำให้มันเสื่อมสภาพและลดประสิทธิภาพลง ดังนั้นควรใช้ในเวลากลางคืนหรือบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ให้แสงเข้า
  3. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract): ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสง UV แต่สารสกัดจากชาเขียวจะเสื่อมสภาพเมื่อได้รับแสง UV และอาจสูญเสียคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและปกป้องผิว
  4. น้ำมันหอมระเหยจากส้ม (Citrus Essential Oils): น้ำมันหอมระเหยจากส้ม เช่น น้ำมันจากผลส้มโอและส้ม มีสารที่สามารถทำให้ผิวไวต่อแสงและทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแผลไหม้จากแสงแดด นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยเหล่านี้ยังเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสง
  5. ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide): ไนอาซินาไมด์มีคุณสมบัติในการปรับสีผิวและช่วยลดการระคายเคือง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสารที่ไวต่อแสง หากผลิตภัณฑ์ที่มีไนอาซินาไมด์ถูกเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ป้องกันแสง UV อย่างเหมาะสม อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

ทำไมขวด PET แบบใสถึงทำลายคุณภาพของเครื่องสำอาง

PET (Polyethylene Terephthalate) เป็นพลาสติกที่นิยมใช้ในการบรรจุเครื่องสำอางเนื่องจากความใสซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคเห็นผลิตภัณฑ์ภายในได้ แต่ความใสนี้กลับมีต้นทุน ขวด PET สามารถให้รังสี UV ซึมผ่านได้ง่าย ซึ่งหมายความว่าเมื่อผลิตภัณฑ์ภายในขวดสัมผัสกับแสงแดด รังสี UV สามารถแทรกซึมเข้าไปในวัสดุและทำให้ส่วนผสมที่ไวต่อแสงเสื่อมสภาพ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสี เนื้อสัมผัส และคุณภาพโดยรวมของผลิตภัณฑ์ ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและอาจเป็นอันตราย

ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารรีตินอลหรือวิตามิน C จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสง UV ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ลดลงและไม่สามารถปกป้องหรือฟื้นฟูผิวได้ตามที่คาดหวัง นอกจากนี้ น้ำมันธรรมชาติ กลิ่นหอม และส่วนผสมที่ไวต่อการเกิดออกซิเดชันก็สามารถเกิดการเสื่อมสภาพหรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

ทำไม HDPE และ PP ถึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการบรรจุเครื่องสำอาง

BPE158 ขวดพลาสติก 350cc (7)

เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์จึงหันมาใช้พลาสติกทางเลือกเช่น HDPE (High-Density Polyethylene) และ PP (Polypropylene) ซึ่งมีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับขวด PET ในการปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ภายใน

  1. การป้องกันรังสี UV: พลาสติก HDPE และ PP ให้การปกป้องที่ดีเยี่ยมจากรังสี UV ทั้งสองชนิดมีลักษณะทึบแสงหรือโปร่งแสง ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ การบล็อกรังสี UV จะช่วยปกป้องส่วนผสมที่ไวต่อแสงและรักษาความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ให้นานขึ้น
  2. ความทนทานและเสถียรภาพ: HDPE และ PP มีความทนทานและต้านทานการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้ดี ทำให้เป็นทางเลือกที่มั่นคงในการบรรจุเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหอมระเหย สารสกัดจากพืช หรือส่วนผสมธรรมชาติที่มีความไวต่อการเกิดออกซิเดชัน วัสดุเหล่านี้ช่วยรักษาคุณภาพและความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ตลอดอายุการใช้งาน
  3. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ทั้ง HDPE และ PP เป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ ทำให้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้นเมื่อเทียบกับ PET ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและแบรนด์ที่ต้องการลดการทิ้งขยะพลาสติก
  4. คุ้มค่ากว่า: การปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากการเสื่อมสภาพจะช่วยลดการคืนสินค้า ความไม่พึงพอใจของลูกค้า และสินค้าคงคลังที่เสียหายจากผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพ

เมื่อพูดถึงการบรรจุเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ขวด PET แบบใส แม้ว่าจะได้รับความนิยมจากความสวยงาม แต่กลับทำลายอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อแสงและรังสี UV ในทางกลับกัน การใช้ภาชนะพลาสติก HDPE และ PP มอบการปกป้องจากรังสี UV ได้ดีกว่า ความทนทาน และประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม สำหรับแบรนด์ที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและรักษาประสิทธิภาพ การลงทุนในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกัน UV เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและจำเป็น

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก (Organic Skin Moisturizing Cream Recipe)

สูตรครีมนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากส่วนผสม 100% ธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ด้วยการคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น เชียบัตเตอร์ น้ำมันมะพร้าว และว่านหางจระเข้ ทำให้สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ความโดดเด่นของสูตรนี้คือเหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวธรรมดา ผิวแห้ง หรือแม้แต่ผิวบอบบางแพ้ง่าย เนื่องจากไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนหรือระคายเคือง นอกจากนี้ ส่วนผสมอย่างเจลว่านหางจระเข้ยังช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในระดับลึก โดยที่ผิวสามารถหายใจได้ตามธรรมชาติ

สูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก

อีกหนึ่งจุดเด่นของครีมสูตรนี้คือการปรับแต่งกลิ่นได้ตามชอบด้วยน้ำมันหอมระเหย เช่น ลาเวนเดอร์ กุหลาบ หรือคาโมมายล์ ช่วยเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายและมอบประสบการณ์การดูแลผิวที่หรูหราและเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการบำรุงผิวที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากธรรมชาติ

การใช้ครีมสูตรนี้ช่วยให้ผิวของคุณเนียนนุ่ม สุขภาพดี และเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังตอบโจทย์การดูแลผิวในชีวิตประจำวันได้อย่างครบครัน เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่มอบผลลัพธ์ยอดเยี่ยมโดยปราศจากสารเคมีที่ไม่จำเป็น

การรวมส่วนผสมทั้งหมดนี้ในครีมให้ความชุ่มชื้นแบบออร์แกนิกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก พร้อมป้องกันปัญหาผิวและทำให้ผิวเนียนนุ่มและสุขภาพดีขึ้นทุกวัน!

ส่วนผสมสูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก:

  1. เชียบัตเตอร์ (120 มิลลิลิตร) เชียบัตเตอร์เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน A และ E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและลดความเสียหายจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวที่ต้องการการฟื้นฟู
  2. น้ำมันมะพร้าว (60 มิลลิลิตร) น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว มีกรดลอริก (Lauric Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ทำให้เหมาะสำหรับการดูแลผิวที่เป็นสิวหรือระคายเคืองง่าย
  3. น้ำมันอัลมอนด์หวาน (30 มิลลิลิตร) น้ำมันอัลมอนด์หวานมีวิตามิน E สูง ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวและลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวเนียนนุ่ม เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  4. ขี้ผึ้งธรรมชาติ (15 กรัม, ขูดฝอย) ขี้ผึ้งธรรมชาติช่วยสร้างเกราะป้องกันบนผิวหนังเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิว เหมาะสำหรับการบำรุงผิวที่แห้งเสีย ช่วยให้ผิวรู้สึกนุ่มและเรียบเนียน
  5. เจลว่านหางจระเข้ (30 มิลลิลิตร) ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และให้ความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดรอยแดงจากแสงแดดหรือการระคายเคือง
  6. น้ำมันวิตามิน E (5 หยด, ไม่จำเป็น) วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและลดเลือนริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูสุขภาพดี
  7. น้ำมันหอมระเหย (5-10 หยด, ไม่จำเป็น) เพิ่มกลิ่นหอม เช่น ลาเวนเดอร์ กุหลาบ หรือคาโมมายล์ เพื่อความผ่อนคลายและบำรุงเพิ่มเติม

กระปุกสีขาวมุก

วิธีทำสูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก:

  1. ละลายส่วนผสมหลัก: ใช้หม้อต้มสองชั้นหรือชามทนความร้อน ละลายเชียบัตเตอร์ น้ำมันมะพร้าว และขี้ผึ้งบนไฟอ่อน คนเบา ๆ จนละลายหมด
  2. ปล่อยให้เย็น: ยกออกจากความร้อนและปล่อยให้ส่วนผสมเย็นลงเล็กน้อยจนเริ่มข้น
  3. ใส่ส่วนผสมที่เป็นของเหลว: ใส่เจลว่านหางจระเข้ น้ำมันอัลมอนด์หวาน น้ำมันวิตามิน E และน้ำมันหอมระเหย (ถ้ามี) แล้วคนให้เข้ากัน
  4. ตีให้เนื้อเนียน: ใช้เครื่องตีมือหรือตะกร้อมือตีส่วนผสมจนได้เนื้อครีมที่เนียนและฟู
  5. เก็บในภาชนะสะอาด: เทครีมลงในขวดแก้วหรือภาชนะที่สะอาดและมีฝาปิด เก็บในที่เย็นและแห้ง
วิธีใช้สูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก:
  • ใช้ทาบนผิวที่สะอาดในปริมาณเล็กน้อย นวดเบา ๆ จนซึมเข้าสู่ผิว
  • ใช้ได้กับใบหน้า มือ หรือร่างกายเพื่อเพิ่มความนุ่มและชุ่มชื้น

สูตรจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ควรทดสอบการแพ้โดยทาเล็กน้อยที่บริเวณผิวหนังเพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือระคายเคืองหรือไม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสะอาด รวมถึงอุปกรณ์และภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เก็บโลชั่นในที่แห้งและเย็น และใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์ (หรือ 2-3 สัปดาห์หากแช่เย็น) เนื่องจากไม่มีสารกันเสีย หากเกิดการระคายเคืองให้หยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากคุณมีผิวแพ้ง่ายหรือมีปัญหาผิวหนังบางประการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย (Whitening Lotion Recipe with Thai Herbs)

โลชั่นไวท์เทนนิ่งจากมะกรูดและขมิ้น: สูตรสมุนไพรไทยออร์แกนิกสำหรับการดูแลผิว

โลชั่นไวท์เทนนิ่งสูตรนี้ผสมผสานประโยชน์ที่ทรงพลังของสมุนไพรไทยแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวกระจ่างใส โดยมีส่วนผสมของมะกรูดและขมิ้นที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยปรับผิวให้สว่างใส โลชั่นนี้ยังเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยน้ำมันมะพร้าวและว่านหางจระเข้ ทำให้เหมาะสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก

สูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย

ส่วนผสมสูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย:

  • น้ำมันมะพร้าว 1/2 ถ้วย (หรือน้ำมันชนิดอื่นตามที่คุณเลือก): น้ำมันมะพร้าวให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวนุ่มนวลและช่วยให้ส่วนผสมอื่น ๆ ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
  • ผิวมะกรูดหรือมะกรูดคั้นน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ: มะกรูดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผิวแบบไทย ช่วยปรับสีผิวให้สว่างและมีกลิ่นหอมสดชื่น
  • ผงขมิ้น 1 ช้อนชา (ใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ): ขมิ้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ลดจุดด่างดำและการอักเสบ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของการเปื้อนสีผิว
  • น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ 10 หยด (ไม่จำเป็น): น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่น มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
  • เจลว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ: ว่านหางจระเข้ช่วยให้ความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว

BPE158-PP18 ขวดปั๊ม 350cc (3)

วิธีทำสูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง:

  1. ละลายน้ำมันมะพร้าว: หากน้ำมันมะพร้าวแข็งตัว ควรละลายให้เป็นของเหลวก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ
  2. ใส่มะกรูด: ใส่ผิวมะกรูดหรือมะกรูดคั้นน้ำลงในน้ำมันมะพร้าวที่ละลายแล้ว ผสมให้เข้ากันเพื่อให้น้ำมันซึมซับกลิ่นและคุณประโยชน์ของมะกรูด
  3. ผสมขมิ้น: เติมผงขมิ้นลงไปแล้วคนให้เข้ากัน ระวังการใช้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันการเปื้อนสีผิว
  4. ใส่น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ (ถ้ามี): เติมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและความผ่อนคลาย
  5. เติมเจลว่านหางจระเข้: ใส่เจลว่านหางจระเข้และผสมให้เนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
  6. เก็บและบรรจุ: เทโลชั่นลงในภาชนะที่สะอาดและปิดฝาให้แน่นเพื่อคงความสดใหม่

วิธีการใช้สูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง:

  • เวลาใช้: ใช้โลชั่นนี้ทาผิววันละครั้ง โดยเฉพาะในตอนเย็น
  • วิธีใช้: ทาโลชั่นลงบนผิวที่สะอาดและแห้ง แล้วนวดเบา ๆ ให้ซึมเข้าสู่ผิว
  • คำเตือน: เนื่องจากขมิ้นอาจทำให้เปื้อนผิวหรือเสื้อผ้า ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผ้าสีอ่อน

ประโยชน์:

  • ปรับผิวกระจ่างใส: มะกรูดและขมิ้นช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ผิวดูสว่างใสขึ้น
  • ให้ความชุ่มชื้นและปลอบประโลม: น้ำมันมะพร้าวและว่านหางจระเข้ช่วยให้ความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง
  • ผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอม: น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ให้กลิ่นหอมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการดูแลผิวในช่วงเย็น

สูตรโลชั่นนี้ช่วยให้ผิวของคุณนุ่มนวลและกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยส่วนผสมจากสมุนไพรไทยที่ทรงคุณค่า!

สูตรจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ควรทดสอบการแพ้โดยทาเล็กน้อยที่บริเวณผิวหนังเพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือระคายเคืองหรือไม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสะอาด รวมถึงอุปกรณ์และภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เก็บโลชั่นในที่แห้งและเย็น และใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์ (หรือ 2-3 สัปดาห์หากแช่เย็น) เนื่องจากไม่มีสารกันเสีย หากเกิดการระคายเคืองให้หยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากคุณมีผิวแพ้ง่ายหรือมีปัญหาผิวหนังบางประการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สีส่งผลต่ออารมณ์ในการซื้อและแบรนด์สินค้า

สีส่งผลต่ออารมณ์ในการซื้อและแบรนด์สินค้า

สีมีผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์และการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อและความสัมพันธ์ของแบรนด์ สีที่ต่างกันทำให้เกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันและสามารถสื่อข้อความเฉพาะ ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ สีส่งผลต่ออารมณ์ในการซื้อและการรับรู้แบรนด์อย่างไร:

การเชื่อมโยงทางอารมณ์: สีสามารถทำให้เกิดอารมณ์หรือความรู้สึกที่เฉพาะเจาะจงได้ รายละเอียดสามารถดูจากภาพ

เอกลักษณ์ของแบรนด์: สีมีบทบาทสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์และการรับรู้ของแบรนด์ การใช้สีเฉพาะอย่างสม่ำเสมอจะทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำได้ง่ายและช่วยให้ผู้บริโภคจดจำได้

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ระดับความโปร่งแสงสีขวด Plastic Colour Intensity Level

ระดับความโปร่งแสงสีขวด

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ความสำคัญของสีในการสร้างแบรนด์

ความสำคัญของสี

สีมีบทบาทสำคัญในการสร้างแบรนด์จากการกระตุ้นอารมณ์ สื่อข้อความ และ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างสี และ แบรนด์สินค้า

เอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity): สีเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอกลักษณ์ทางภาพของแบรนด์ ช่วยสร้างการจดจำและสร้างความแตกต่างของแบรนด์จากคู่แข่ง การใช้สีที่สอดคล้องกันในองค์ประกอบต่างๆ ของแบรนด์ เช่น โลโก้ บรรจุภัณฑ์ และสื่อการตลาด ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์

ผลกระทบทางอารมณ์ (Emotional Impact): สีมีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์ ตัวอย่างเช่น สีโทนร้อนอย่างสีแดงและสีส้มมักเกี่ยวข้องกับพลังงาน ความตื่นเต้น และความหลงใหล ในขณะที่สีโทนเย็นอย่างสีน้ำเงินและสีเขียวสามารถทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ไว้วางใจ และเป็นธรรมชาติ แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้สีที่สอดคล้องกับอารมณ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมาย

บุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality): สีสามารถช่วยสร้างบุคลิกและลักษณะเฉพาะของแบรนด์ได้ ตัวอย่างเช่น สีม่วงมักจะเกี่ยวข้องกับความหรูหราและความซับซ้อน ในขณะที่สีเหลืองเกี่ยวข้องกับการมองโลกในแง่ดีและความอ่อนเยาว์ แบรนด์ต่าง ๆ เลือกสีที่สะท้อนถึงลักษณะนิสัยและค่านิยมที่พวกเขาต้องการ

ความสำคัญทางวัฒนธรรมและบริบท (Cultural and Contextual Significance): สีสามารถมีความหมายและความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและสังคม ตัวอย่างเช่น สีแดงอาจหมายถึงความโชคดีและการเฉลิมฉลองในบางวัฒนธรรม ในขณะที่อาจแสดงถึงอันตรายหรือคำเตือนในบางวัฒนธรรม

การพิจารณากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience Considerations): สีที่ต่างกันสามารถสะท้อนความแตกต่างกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ แบรนด์ควรคำนึงถึงข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าสีที่เลือกนั้นสอดคล้องกับความชอบและสอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์ และ ภาพลักษณ์ของแบรนด์

บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ-vs-ภาพลักษณ์ของแบรนด์

บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพส่งผลอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์และสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์:

ดึงดูดสายตา (Visual Appeal): บรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงโดดเด่นสะดุดตา ดึงดูดความสนใจของลูกค้าและสร้างความประทับใจแรกพบ การใช้วัสดุระดับพรีเมียม การออกแบบที่ดึงดูดใจ และความใส่ใจในรายละเอียดสามารถทำให้บรรจุภัณฑ์ดูดึงดูดสายตา สะท้อนถึงแบรนด์ในเชิงบวก

ความสอดคล้องและความเป็นมืออาชีพ (Consistency and Professionalism): บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาอย่างดีซึ่งสอดคล้องกับเอกลักษณ์ทางภาพของแบรนด์และข้อความช่วยเสริมความสอดคล้องของแบรนด์ มันบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพและความใส่ใจในรายละเอียด สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและวางตำแหน่งแบรนด์ให้น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้

เอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ไม่ซ้ำใคร (Unique Brand Identity): บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่แตกต่างในตลาดที่แข่งขันสูงด้วยการผสมผสานองค์ประกอบการออกแบบ สี และตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ บรรจุภัณฑ์สามารถสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์จากคู่แข่ง และทำให้ผู้บริโภคจดจำได้ทันที ความแตกต่างนี้สามารถนำไปสู่การเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และความเชื่อมั่นของลูกค้า

การเชื่อมต่อทางอารมณ์ (Emotional Connection): บรรจุภัณฑ์มีพลังในการกระตุ้นอารมณ์และเชื่อมต่อกับลูกค้าในระดับที่ลึกขึ้น การบอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดคุณค่าของแบรนด์ หรือสร้างประสบการณ์แกะกล่องที่น่าจดจำ บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ เสียงสะท้อนทางอารมณ์นี้สามารถเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์และกระตุ้นให้เกิดคำแนะนำแบบปากต่อปาก

การรับรู้ระดับพรีเมียม (Premium Perception): บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถเพิ่มมูลค่าการรับรู้ของผลิตภัณฑ์ได้ เมื่อลูกค้าพบบรรจุภัณฑ์ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา ฝีมือดี และมีขนาดใหญ่ พวกเขามักจะเชื่อมโยงบรรจุภัณฑ์นั้นกับผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงกว่า การเชื่อมโยงนี้สามารถกำหนดราคาระดับพรีเมียมและวางตำแหน่งแบรนด์เป็นผู้ให้บริการระดับไฮเอนด์หรือข้อเสนอสุดพิเศษ

การสร้างความแตกต่างในสภาพแวดล้อมการค้าปลีก (Differentiation in Retail Environments): บนชั้นวางของร้านค้า บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสามารถช่วยให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่นกว่าคู่แข่ง การออกแบบที่ดึงดูดความสนใจ รูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ หรือโซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สามารถดึงดูดสายตาลูกค้าและกระตุ้นความสนใจของพวกเขาได้ บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าและเพิ่มยอดขาย

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ผู้บริโภคมองหาอะไรในบรรจุภัณฑ์?

ผู้บริโภคมองหาอะไรในบรรจุภัณฑ์?

ผู้บริโภคมีความคาดหวังและความพึงพอใจที่หลากหลายเมื่อพูดถึงเรื่องบรรจุภัณฑ์ ต่อไปนี้เป็นปัจจัยทั่วไปที่ผู้บริโภคมักพิจารณาเมื่อประเมินบรรจุภัณฑ์:

1. ดึงดูดสายตา: ผู้บริโภคสนใจบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจและโดดเด่นบนชั้นวางสินค้า สี การออกแบบ และกราฟิกที่สะดุดตาสามารถมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค

2. การสร้างแบรนด์และข้อมูล: ผู้บริโภคมองหาบรรจุภัณฑ์ที่สื่อสารตัวตนของแบรนด์และข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การติดฉลากที่ชัดเจนและรัดกุม รวมถึงชื่อผลิตภัณฑ์ คำอธิบาย คุณสมบัติ คุณประโยชน์ ส่วนผสม และคำแนะนำในการใช้งาน สามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้อย่างมีข้อมูล

3. การใช้งานและความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคชื่นชอบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งาน เปิด และปิดได้ง่าย บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอำนวยความสะดวก เพิ่มประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ได้

4. การปกป้องและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์: ผู้บริโภคคาดหวังว่าบรรจุภัณฑ์จะช่วยปกป้องผลิตภัณฑ์ในระหว่างการขนส่ง การจัดเก็บ และการจัดการ มาตรการป้องกัน เช่น ซีลป้องกันการงัดแงะและวัสดุที่ทนทานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประกันความสมบูรณ์และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

5. บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบรรจุภัณฑ์ พวกเขามองหาวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ หรือผลิตจากแหล่งที่ยั่งยืน การติดฉลากที่ชัดเจนของการรับรองหรือสัญลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้เช่นกัน

6. ขนาด และ ความสะดวกในการพกพา: บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดส่วนที่เหมาะสมตามสัดส่วนต่อการใช้งาน หรือสะดวกพกพา มักเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคที่มีวิถีชีวิตที่วุ่นวายหรือความต้องการอาหารที่เฉพาะเจาะจง

7. การยศาสตร์และการใช้งานง่าย: ผู้บริโภคชื่นชมบรรจุภัณฑ์ที่ถือ เท บีบ หรือจับได้ง่าย การออกแบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ที่ลดการหก หยด และความยุ่งเหยิงสามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมได้

8. อายุการเก็บรักษาและความสด: บรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุการเก็บรักษาและรักษาความสดของผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูง คุณสมบัติต่างๆ เช่น การซีลกันอากาศเข้า การกันความชื้น และการป้องกันรังสียูวีช่วยรักษาคุณภาพของสินค้าที่เน่าเสียง่าย

9. ความคุ้มค่า: ผู้บริโภคประเมินบรรจุภัณฑ์โดยพิจารณาจากมูลค่าที่ได้รับซึ่งสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ ปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาด ปริมาณ ราคา และการส่งเสริมการขายมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายและความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์

ความชอบของผู้บริโภคอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์ ตลาดเป้าหมาย และปัจจัยทางวัฒนธรรม การทำวิจัยตลาดและการทำความเข้าใจความต้องการและความปรารถนาเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภค

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การเลือกฝาพลาสติกสำหรับขวด Cap Selection

ฝาเซฟตี้

การเลือกฝาพลาสติกที่เหมาะสมสำหรับขวดมีความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความสะดวกสบาย และเพิ่มประสบการณ์ของผู้บริโภค คู่มือฉบับย่อนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเมื่อเลือกฝาพลาสติก

1. ฝาเกลียว Screw-Cap ฝาเกลียวอเนกประสงค์และมีให้เลือกใช้มากมายช่วยปิดขวดอย่างแน่นหนาโดยใช้เกลียวภายในที่ขันเข้ากับคอขวด มีหลายขนาดและวัสดุ เช่น PP และ HDPE ซึ่งให้คุณสมบัติการปิดผนึกที่มีประสิทธิภาพ

2. ฝาฟลิบ Flip-Top สะดวกและใช้งานด้วยมือเดียว ฝาฟลิบ Flip-Top มีฝาบานพับที่เปิดและปิดด้วยการพลิกง่ายๆ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ cosmetics และของใช้ในครัวเรือนทั่วไป มีให้เลือกหลายขนาดและทำจากพลาสติก ส่วนมากผลิตจากพลาสติก PP

3. ปั๊ม Lotion Pump เหมาะสำหรับของเหลว ปั๊มจ่ายให้ปริมาณที่แม่นยำและการจ่ายที่ถูกสุขลักษณะ ปั๊มปิดแบบสกรู หรือ ปั๊มแบบ snap-on วัสดุทั่วไป ได้แก่ PP และพลาสติกที่เหมาะสมอื่นๆ

4. ฝากด Press-Cap ฝากดด้านบนมีช่องเปิดขนาดเล็กที่ปิดด้วยแผ่นพลาสติก ทำให้ควบคุมการจ่ายได้ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โลชั่น เซรั่ม และน้ำมัน และมีขนาดและวัสดุต่างๆ เช่น PP ข้อเสียคือโอกาสรั่วสูงเวลาขนส่ง

5. ฝาเซฟตี้ Safety Cap / Child-Resistance Cap ฝาปิดป้องกันเด็กออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึง มีกลไกพิเศษที่ต้องใช้ความเข้าใจในการเปิด ใช้กันทั่วไปสำหรับยา ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และของใช้ส่วนตัวบางชนิด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและ วัสดุทั่วไป เช่น PP

6. ฝาฉีกขาด Tamper-Evident Caps ฝาปิดที่ป้องกันการงัดแงะช่วยให้มั่นใจถึงความสมบูรณ์และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์โดยระบุว่าผลิตภัณฑ์ถูกดัดแปลงหรือไม่ มีแถบฉีกขาด ซีลแบบเหนี่ยวนำ หรือฝาปิดที่แตกหักได้ วัสดุทั่วไป เช่น PP

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ข้อดีของขวด HDPE สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง HDPE for Sustainable Cosmetic Packaging

ขวด-HDPE-สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ขวดพลาสติกที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเครื่องสำอางต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ บทความนี้เน้นย้ำถึงประโยชน์ของขวดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) และความสามารถในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางด้วยการใช้งานจริงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

1. ความทนทานและความแข็งแรง ขวด HDPE มีความทนทานเป็นเลิศ ปกป้องผลิตภัณฑ์ระหว่างการจัดการและการขนส่ง ความแข็งแรงป้องกันการรั่วซึมหรือความเสียหาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและยืดอายุการเก็บรักษาของสินค้า

2. ทนต่อสารเคมี ขวด HDPE มีความทนทานต่อสารเคมี จึงเข้ากันได้กับสูตรเครื่องสำอางต่างๆ เป็นการรักษาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติที่ต้องการของผลิตภัณฑ์

3. ความสามารถในการรีไซเคิลและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ขวด HDPE สามารถนำไปรีไซเคิลได้สูง ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการลดความต้องการพลาสติกบริสุทธิ์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

4. น้ำหนักเบาและคุ้มค่า ขวด HDPE มีน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการใช้พลังงาน ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกประหยัดต้นทุน

5. ตัวเลือกการออกแบบที่หลากหลาย ขวด HDPE นำเสนอโอกาสในการปรับแต่ง ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งสะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาและดึงดูดผู้บริโภค

6. ความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขวด HDPE ปลอดสารพิษ จึงรับประกันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคด้วยการป้องกันการชะล้างของสารเคมีอันตราย

7. ความสะดวกสบายของผู้บริโภค ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น ฝา flip-top และปั๊ม lotion pump ขวด HDPE ช่วยให้การใช้น้ำยาผลิตภัณฑ์สะดวกและถูกสุขลักษณะ ง่ายต่อการบีบและเป็นมิตรกับการเดินทาง

ขวด HDPE ให้ความทนทาน รีไซเคิลได้ และออกแบบได้หลากหลายสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่ยั่งยืน ช่วยเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และความดึงดูดใจให้กับผู้บริโภค การเลือกขวด HDPE แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ควรใช้ขนาดขวดเท่าไหร่สำหรับบรรจุแคปซูล?

ขนาดขวดบรรจุแคปซูล

ขนาดขวดสำหรับบรรจุแคปซูล

Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
130600030100
140800040140
1601000060180
1901200090280
112015000120400
118023000180500
Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
 Capsule Size
ขนาดแคปซูล
Capsule (pcs)
จำนวนแคปซูล
Bottle Size (cc) 
ขนาดขวด
03010000030120
04014000040160
06016000060200
09018000090300
0120200000120400
0180300000180500

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดขวดสำหรับบรรจุแคปซูล

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางไทยปี 2014

แนวโน้มตลาดเครื่องสำอางไทยปี 2014 เครื่องสำอางไทยส่งออกพุ่ง

นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทยระบุถึงแนวโน้มในอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ยังคงสดใสและมีโอกาสในการลงทุนเมื่อสถานการณ์ด้านต่างๆ เงียบสงบ โอกาสในการส่งออกเครื่องสำอางยังคงเป็นที่น่าสนใจ นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการเพิ่มสมรรถนะในการส่งออกเครื่องสำอางไทยออกนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดนานาชาติอาจพบกับภาวะที่ยังไม่ค่อยเสถียร ซึ่งส่วนนี้ส่วนมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน

สำหรับผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ในการส่งออกมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง การส่งออกเครื่องสำอางยังคงเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีปัญหาความล่าช้า การส่งเครื่องสำอางไทยไปยังกลุ่มประเทศในอาเซียนร้อยละ 37 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ 30 การส่งออกไปยังยุโรปและออสเตรเลียเป็น 5 และอื่นๆ อีก 26 ประเทศ การส่งเครื่องสำอางไปจีนกำลังมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสำหรับเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบจากสมุนไพร ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจีนอย่างมาก

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น โดยมีส่วนร่วมในภาวะเศรษฐกิจของประเทศถึง 2.2 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศไทย

หลังจากการเปิดตัวประชาคมอาเซียนในปี 2558 ธุรกิจเครื่องสำอางจะได้รับการแข่งขันอย่างเข้มข้น เนื่องจากการค้าขายที่เสรีและไม่มีพรมแดน ซึ่งประเทศไทยจะต้องแข่งขันกับประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และยังมีความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติอีกหลายประเทศที่เลือกที่จะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งที่ประเทศไทยสามารถนำเสนอในการผลิตเครื่องสำอาง

แม้จะมีแบรนด์เครื่องสำอางไทยปรากฎขึ้นมาประมาณ 1,000 แบรนด์ แต่การสร้างแบรนด์ยังมีความเหลือเชื่อมากกว่านี้ แน่นอนการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐได้เป็นประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นองค์การอาหารและยาหรือหน่วยงานด้านพัฒนาอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้การส่งออกเครื่องสำอางเป็นไปอย่างราบรื่นก็เป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการสร้างเอกสารและข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการเมื่อต้องการส่งออกผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย

 

Credit: Thaipost and Posttoday

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (1) →

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014

แนวโน้มการออกแบบบรรจุภัณฑ์ 2014 – The Packaging Design Trend 2014

No matter how much people rely on social media and emails to communicate, the one thing that they’ll never stop needing is packaging. Packaging is just as important as the product itself, and it goes a long way toward convincing customers that they want what’s inside.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (1)

Most people don’t think about the packaging on the products they purchase or the boxes that those products are mailed in. But it has a tremendous impact, and just like any industry, the packaging industry is subject to trends  and developments. Here are some of the exciting new developments to watch for in 2014.

1. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

The green movement is continuing to gather strength, and environmentally friendly packages are a great way to make inroads with concerned customers. As a result, many businesses are looking toward investing in packages that are environmentally friendly either because they are biodegradable or made from recycled products. It makes for a great selling point and reduces consumer guilt about buying products in packages.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (1)

2. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: หลายการใช้งาน

Sometimes people buy products just as much for the bonuses as they do for the actual product. Packages that serve multiple uses are going to be even more popular in 2014. Even if the packaging itself isn’t environmentally friendly, a product that has a package with multiple uses will still be seen as superior to one that only contains the product. The packaging design needs to make the multiple uses clear, though, or else this trend won’t succeed.

3. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: การใช้ Mascot

When it comes to cartoon characters, creative packaging can turn a boring product package into an exciting must-have option. McDonald’s realized this long ago with their Happy Meals designed to look like little houses, complete with cutout doors for the Cabbage Patch dolls. But for quite some time, those creative packaging options relied primarily on simple box shaped designs.

With breakthroughs in the printing industry including 3D printing, such limitations won’t be as big of an issue in 2014. This means that businesses that want to explore more creative options for mascot incorporation will be able to do it.

4. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: ผิวด้าน

From Glamour magazine to the pamphlet “Projected Business Trends in Indiana for 2014,” the matte finish looks to be one of the more common design elements in packaging. It isn’t as sleek or as stylish as a polished finish, but it isn’t tacky either. Visually, it stands out. Bright colors can be used, but they aren’t as overpowering because the matte subdues them.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (3)

5. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: การออกแบบเรียบง่าย

The minimalist design movement has made some of the biggest waves in the web design community, particularly on mobile websites and iOS platforms. Simple black-and-white photography and flatted UIs have created a whole new palette. For businesses with products to sell from their websites, matching the packaging design with the web design can be a great step. An added benefit is that the minimalist design tends to be less expensive to print, which also makes it popular.

Packaging isn’t going to go away any time soon, but it is going to keep developing. 2014 looks to be an exciting time with new trends. Packages that are environmentally friendly while also having multiple uses will likely develop. The functional form that benefits the seller as much as the consumer will also probably make its showing and increase in popularity, particularly as it resolves common problems for shop owners. Of course, packaging trends for 2014 will also extend to safety measures along with product variation changes to indicate expiration or tampering. And design changes will likely move toward the matte finish as well as the minimalist design. Look for packaging to be more exciting than ever.

 

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (4)

6. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: เขียนลวดลายแบบอักษรมือเปล่า (Freehand Fonts)

This trend characterizes itself for its handwritten and carefully “untidy” fonts, which address to the consumer in a friendly and authentic tone. Casual, informal and cool designs that look fresh and spontaneous. Decorative fonts and touching illustrations humanize the product and makes it look handmade. A graphic resource that was used only by few products focalized on a reduced group of consumers; today is gaining adepts and acceptation between consumers.

In an attempt to move away from massive and industrial products, these packaging designs align themselves with a tendency that appreciates origin along with handcraft products, opposite to the artificial imagery associated with industrial manufacture process. Today, human is not only about warmth, it is also a sign of authenticity.
แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 (8)

7. แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014: แสดงความเด่นของผลิตภัณฑ์ด้วยผลิตภัณฑ์

This trend sets an integration between product and graphic elements in order to seek a playful approach to the product. Flat graphic elements combine with 3D pictures to achieve an abstraction from reality that is both attractive and differentiating.

As a result, the product gains significance to strengthen its values, inviting the consumer to a different experience. Reality and fiction combine themselves resulting in a magical graphic solution. These are just some of the many aesthetic trends we can find nowadays in packaging design worldwide. Each of them has singularities but they all converge in the seeking for differentiation and segmentation in a world of consumers demanding constant innovation.

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014 9)

 

Credit: thedeependdesign.com / thedieline.com (แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ 2014)

 

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บรรจุภัณฑ์พลาสติก: คุณสมบัติและการใช้งานที่หลากหลาย

ในปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีการใช้งานอย่างกว้างขวางและหลากหลาย ด้วยพลาสติกแต่ละชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ในรูปแบบต่างๆ โดยสามารถจำแนกพลาสติกตามความหนาแน่นของโมเลกุลและคุณสมบัติพิเศษ ตัวอย่างเช่น พลาสติก PE (Polyethylene) ซึ่งสามารถแบ่งย่อยเป็นหลายประเภท ได้แก่ LLDPE, LDPE, MDPE และ HDPE แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาเพิ่มเติมได้ ผ่านกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน เช่น การทำปฏิกิริยาร่วมกับสารเคมีอื่นๆ หรือการใช้กระบวนการผลิตเฉพาะที่ให้ผลลัพธ์ต่างๆ เช่น PP และ OPP

ขวดยา-และ-อาหารเสริม

(1) บรรจุภัณฑ์อาหารโพลิเอทิลีน (Polyethylene – PE)

PE เป็นพลาสติกที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่คุ้มค่าและคุณสมบัติละลายต่ำ โดยกระบวนการผลิต PE เกิดจากการทำโพลิเมอไรส์ของก๊าซเอทิลีนภายใต้สภาวะความดันและอุณหภูมิสูง ผลลัพธ์ที่ได้คือ PE ที่มีความหนาแน่นต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

  • LDPE (Low Density Polyethylene): พลาสติกความหนาแน่นต่ำ ใช้ในบรรจุภัณฑ์ทั่วไป เช่น ฟิล์มหด ฟิล์มยืด ขวดน้ำ ฝาขวด มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการทิ่มทะลุและฉีกขาด ป้องกันความชื้นได้ดี แต่ทนต่อน้ำมันและไขมันได้ไม่ดีนัก
  • MDPE (Medium Density Polyethylene): พลาสติกความหนาแน่นปานกลาง ใช้ในการบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความทนทาน เช่น ถุงที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
  • HDPE (High Density Polyethylene): พลาสติกความหนาแน่นสูง มีความแข็งแรง เหมาะสำหรับขวดและฟิล์มที่ต้องการการปกป้องจากการซึมผ่านของก๊าซ

กระปุก-PE-1000ml

(2) บรรจุภัณฑ์อาหารโพลิโพรพิลีน (Polypropylene – PP)

PP เป็นพลาสติกที่นิยมใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทถุงร้อน ด้วยคุณสมบัติที่ใสและทนต่อความชื้น ทำให้เหมาะสำหรับการบรรจุอาหารที่ต้องการเก็บรักษาความร้อนและความชื้น เช่น ถุงร้อนสำหรับอาหารร้อน ซองบรรจุอาหารแห้ง และซองบรรจุคุกกี้และถั่วทอด นอกจากนี้ PP ยังทนทานต่อความร้อน ทำให้สามารถใช้ในการบรรจุอาหารที่ต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนได้อีกด้วย

ขวดซอสฝาแหลม-PP-ทนความร้อน

(3) บรรจุภัณฑ์อาหารโพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene Terephthalate – PET)

PET เป็นพลาสติกที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการบรรจุเครื่องดื่มอัดลม เช่น ขวดน้ำอัดลมและขวดน้ำดื่ม ด้วยคุณสมบัติที่ใสแวววาวและแข็งแรง PET ยังนิยมใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น ซองยืดได้สำหรับผลไม้แห้งหรือช็อกโกแลต ซึ่งต้องการความแข็งแรงในการจัดเก็บและความสวยงามในการนำเสนอ

บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีความหลากหลายในการใช้งานและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกัน พลาสติกแต่ละชนิดมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวที่ทำให้เหมาะกับการใช้งานในบรรจุภัณฑ์และอาหารในลักษณะต่างๆ ตั้งแต่ถุงร้อนสำหรับอาหารจนถึงขวดสำหรับเครื่องดื่ม

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (1)

2. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (3)

3. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (4)

4. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (2)

5. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (6)

6. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (9)

7. ไอเดียออกแบบบรรจุภัณฑ์

PP (10)

 

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Packaging Ideas and Designs ไอเดียและการออกแบบบรรจุภัณฑ์

1. Packaging design: Spine Vodka

Packaging Design (1)

Packaging Design: This vodka brand gets down to the bare bones of packaging

German designer Johannes Schulz created this inspirational packaging for Spine Vodka. “It was a private project I started after my graduation of an international communication design school in Hamburg, Germany,” he explains. “Spine is a high quality product just like the design, reduced and simple with a consciously ‘twist’ in his message and a memorable name fitting to the project.”

Integrated the spine with the rib cage to communicate a product with a ‘backbone’, the unique 3D design approach sets it aside from its 2D counterparts. “The transparent glass material stands for a product that don’t has to hide something,” Schulz concludes.

2. Packaging design: Helvetica Beer

Packaging-Design-(2)

Packaging Design: A school project turns a typeface into a beer

Students are renowned for like a beer or two. So we weren’t surprised to learn that this cool new packaging design was a school project, designed by Sasha Kischenko at the British Higher School of Art and Design.

Tasked with creating a package design using type only, Kischenko opted to develop a concept for beer from Switzerland’s historical Helvetic republic – so the typeface was an obvious choice.

The sophisticated design centres around a large digit informing you of the alcohol percentage, with a small Swiss Cross logo in the top right. Can colours, silver and black, correspond to lager or stout respectively. A simple but beautiful concept, we could see this product in the hands of many a student if it were ever to become a reality!

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Top food packaging design tips that’ll make your brand jump off the shelf

1. Packaging Design Tips: Clarity and simplicity

Next time you go to a supermarket, pick a random shelf and browse through some products. Glance at each and ask yourself two very simple questions:

  1. What’s this product for?
  2. What’s the brand behind it?

Packaging Design Tip (1)

A great example of simple, clear yet highly distinctive packaging design.

You’ll be amazed how hard it is to find answers to some of these essential questions in less than four seconds, the maximum time an average consumer will dedicate to any particular product. Now imagine your brand sitting alongside your competitors’ logos. To cut though the clutter, a busy logo isn’t going to do your business any favors. Think about what makes you different — your special sauce — and lead with that. Remember, some of the world’s most successful logos are also the simplest. Here are some packaging design tips for food and consumer products.

2. Packaging Design Tips: Honesty

Have you ever bought a package of cookies and been disappointed that the mouth-watering goodie shown on the package turned out to be a tiny, dry wafer? By depicting a product ten times better than it actually is, you’re misleading and ultimately disappointing the consumer. Poor sales performance and bad brand image often follow.

Packaging Design Tip (2)

This product might taste good, but the packaging is clearly misleading. More packaging v.s. real food comparisons on this site.

This is where honesty comes in. Consumers have nothing against simple, inexpensive products, as long as they know what they’re buying. As a business, you want to sell your service or product by representing the product in the best light possible, but keep in mind that stretching the truth can backfire. Be straightforward with your customers to keep them coming back.

3. Packaging Design Tips: Authenticity

Originality and memorability are at the heart of great brands. Looking at packaging designs, it’s easy to understand why. With hundreds of products out there, all competing for consumers’ attention, the only way to set your brand apart is to be different and authentic.

Packaging Design Tip (3)

This packaging design from Colin Porter Bell is a great example of authentic and memorable packaging design.

If you’re stuck with a generic-looking design, whether it be your logo or a banner ad, it may be time to think outside the box. Inspire your graphic designer by collecting images that remind you of your special sauce – colors, photos or designs from other industries. Hey, you might even want to look at product packaging examples while brainstorming your next book cover.

4. Packaging Design Tips: Shelf impact

From a shopper’s point of view, a product is never seen alone and never in great detail. In the rows and columns we see veritable patterns of products, and it’s not until a certain pattern attracts our attention that we decide to take a closer look. This distinctiveness and appeal of the product when placed on an actual shelf is something retailers call “shelf impact,” and it makes a huge difference in product sales.

Packaging Design Tip (4)

This is what you actually see in a supermarket. Which product caught your attention first?

You should incorporate the concept of shelf impact into your brand messaging. Take a look at your website home page, for example, where you’ll only have a few seconds to convince visitors to stay. Is your design eye-catching? Does the headline entice people to read more? With so many other options available, people need to ‘get’ your message almost immediately.

5. Packaging Design Tips: Extensibility

A product packaging design concept should allow for an easy introduction of a new line extension or a sub-brand. For example, a new brand of apple juice may eventually introduce a cherry flavor under the same brand name, so creating a flexible design is critical from the start.

Packaging Design Tip (5)

Good packaging design allows for easy variations without losing visual appeal.

Always design your materials with the future in mind. When creating a new logo, for instance, tell your designer right off the bat if you plan to add sub-brands. On the web, create a navigation system that allows you to easily add content. And be sure to share any existing brand materials with your designer so that each new piece will contribute to a cohesive look and feel.

6. Packaging Design Tips: Practicality

Practicality deals with the actual functionality of a product, not just the label or wrap. The more practical the product, the more sales it gets – when Heinz turned the ketchup bottle upside down, sales skyrocketed.

Packaging Design Tip (6)

Turning things on their head helped Heinz sell more ketchup when ketchup industry was in growth crisis.

For you, practicality is found in user experience. When planning your website, think about how you’re solving a visitor’s problem and you’ll prevent many usability issues from arising. Easy ways to make your website more practical include eliminating clutter, simplifying navigation, providing a clear call to action and placing your contact information front and center.

Credit: 99designs.com

Designated trademarks and brands belong to their respective owners.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง: เลือกอย่างไรให้เหมาะกับผลิตภัณฑ์ของคุณ

ในอุตสาหกรรมความงาม การเลือก บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องผลิตภัณฑ์ภายใน แต่ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคอีกด้วย บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางมีหลายรูปแบบให้เลือก เช่น กระปุก ขวด หลอด และขวดปั๊ม โดยแต่ละแบบมีการใช้งานและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของผลิตภัณฑ์

ขวดเครื่องสำอาง 100ml

ประเภทบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่นิยมใช้

  1. กระปุกบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง กระปุกเป็นหนึ่งในรูปแบบ บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่พบได้บ่อยที่สุด เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความหนืดและต้องการความสะดวกในการใช้งาน เช่น ครีม ลิปสติก และแป้ง กระปุกเครื่องสำอางสามารถพกพาได้สะดวกและช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้
  2. ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ขวดเป็นอีกหนึ่งประเภทของ บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณมาก เช่น โลชั่น ครีมบำรุงผิว และเมคอัพ ขวดมีหลายขนาดและหลายรูปทรง สามารถเลือกขวดที่มีฝาปั๊มหรือฝาเปิดได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์
  3. หลอดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง หลอดเป็น บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความสะดวกในการบีบใช้ เช่น ครีมกันแดดหรือครีมบำรุงผิว หลอดมีคุณสมบัติในการป้องกันการปนเปื้อน และสามารถควบคุมปริมาณการใช้ได้ง่าย
  4. ขวดปั๊มสูญญากาศ ขวดปั๊มสูญญากาศเป็น บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์จากการสัมผัสกับอากาศและแสง ช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เหมาะสำหรับเซรั่มและครีมที่ต้องการความปลอดภัยสูง
  5. หลอดอะลูมิเนียม หลอดอะลูมิเนียมเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีความทนทานและสามารถป้องกันการซึมผ่านของอากาศได้ดี เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการปกป้องจากออกซิเจน เช่น ครีมบำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ

Showroom2

วิธีเลือกบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางให้เหมาะสม

การเลือก บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง ควรพิจารณาจากลักษณะของผลิตภัณฑ์ เช่น หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อแสงและอากาศ ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่มีการป้องกัน เช่น ขวดปั๊มสูญญากาศหรือหลอดอะลูมิเนียม สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้บ่อย กระปุกหรือขวดจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม โดยการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ได้อย่างดีเยี่ยม

กระปุกครีมเครื่องสำอาง

บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดึงดูดผู้บริโภคและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลักษณะของผลิตภัณฑ์จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณน่าสนใจและเพิ่มมูลค่าในตลาดเครื่องสำอาง ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้กระปุก ขวด หลอด หรือขวดปั๊ม อย่าลืมคำนึงถึงคุณสมบัติและการใช้งานของ บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: sirgap

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การเลือกชนิดพลาสติก

ยินดีต้อนรับสู่ เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ฉีด และ เป่าพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ช้อน ถ้วยตวง ฝาแบบต่างๆ ชิ้นส่วนอะไหล่พลาสติก ฯลฯ รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก จากประสบการณ์กว่า 30 ปี จากประสบการณ์กว่า 30 ปี

การเลือกชนิดพลาสติกประเภทขวดพลาสติก

พลาสติกเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติหลายประเภทและความหลากหลายในการนำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของบรรจุภัณฑ์หรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ การใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีผลต่อการเก็บรักษาและการนำสินค้าต่าง ๆ ไปสู่ผู้บริโภค ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการเลือกชนิดพลาสติกประเภทขวดพลาสติกที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

ขวดพลาสติก HDPE (High-Density Polyethylene)

HDPE เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรงและทนทานต่อการทำลาย มักใช้ในการผลิตขวดสำหรับน้ำมันสำหรับอาหาร น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด และของเหลวอื่น ๆ ที่มีลักษณะเป็นเหลวหนืด มีความเรียบพื้นที่สำหรับการประกอบเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาของเหลวในระยะยาว

BPE185-PP18 ขวดปั๊ม 200cc (2)

ขวดพลาสติก PP (Polypropylene)

PP เป็นพลาสติกที่มีความทนทานต่อความร้อนและสารเคมี มักใช้ในการผลิตขวดที่ใช้สำหรับเครื่องใช้ในบ้านเรือน เช่น ขวดสำหรับน้ำยาทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน หรือเครื่องสำอางต่าง ๆ

BPP25 ขวดพลาสติก 300cc (2)

ขวดพลาสติก LDPE (Low-Density Polyethylene)

LDPE เป็นพลาสติกที่มีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับการผลิตขวดที่มีรูปทรงแปรปรวนหรือทรงกลม มักใช้ในขวดสำหรับเครื่องสำอาง สินค้าเด็ก น้ำยาล้างมือ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีการยืดหยุ่นในการใช้งาน

หลอดเจล 30cc

การเลือกชนิดของพลาสติกประเภทขวดพลาสติกจึงขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้า การใช้งาน และความต้องการของผู้บริโภค เช่น ถ้าคุณต้องการบรรจุผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีความเป็นเหลวและต้องการความโปร่งใส คุณอาจเลือกใช้ PET หรือ HDPE ส่วนถ้าคุณต้องการบรรจุสินค้าเหลวที่มีความแข็งแรง ความทนทาน และมีความหนาแน่น คุณอาจเลือกใช้ HDPE หรือ PP นั่นเอง ดังนั้น การเลือกใช้ชนิดพลาสติกที่เหมาะสมจะช่วยให้สินค้าของคุณมีคุณภาพและความคงทนในตลอดเวลา

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกชนิดพลาสติก

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ยางเทอร์โมพลาสติก Thermoplastic Elastomer

ยางเทอร์โมพลาสติก

Thermoplastic elastomers TPE (ยางเทอร์โมพลาสติก), also known as thermoplastic rubbers, are a unique class of copolymers or blends of polymers that combine the properties of both thermoplastics and elastomers. Unlike traditional elastomers, which are thermosetting and require more complex processing, thermoplastic elastomers can be easily molded and reshaped using standard manufacturing methods, such as injection molding. TPE materials offer the flexibility and elasticity of rubber while also providing the durability and processability of plastics. The key distinction between thermoset elastomers and thermoplastic elastomers lies in their crosslinking structures. Thermoplastic elastomers have physical crosslinks that can be reversed with heat, allowing them to be reprocessed, whereas thermoset elastomers have permanent chemical crosslinks that contribute to their high elasticity and resilience.

For more information on our TPE plastic injection and blowing services, call us at T: +662 289 1996

ยางเทอร์โมพลาสติกคือวัสดุยางที่สามารถขึ้นรูปได้เช่นเดียวกับพลาสติกเทอร์โมพลาสติก จึงเหมาะสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีรูปร่างหลากหลายอย่างรวดเร็วและสะดวก อีกทั้งยังสามารถเพิ่มสีสันตามต้องการและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ปัจจุบันมีความนิยมเพิ่มขึ้นในการนำยางเทอร์โมพลาสติกไปใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยางต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์กีฬา และของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ยางเทอร์โมพลาสติกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากโพลิเมอร์สังเคราะห์

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก การเพิ่มมูลค่าให้กับยางธรรมชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนายางเทอร์โมพลาสติกจากยางธรรมชาติถือเป็นแนวทางที่สามารถเพิ่มมูลค่าของยางธรรมชาติได้ถึง 2-3 เท่า อีกทั้งยังขยายขอบเขตการใช้งานของยางธรรมชาติและสอดคล้องกับแนวโน้มของโลกที่ต้องการลดการใช้วัสดุจากปิโตรเลียม

ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกผลิตจากวัตถุดิบในประเทศ โดยใช้ยางธรรมชาติและเม็ดพลาสติกที่สามารถขึ้นรูปได้ด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการขึ้นรูปพลาสติกทั่วไป เช่น เครื่องฉีดพลาสติก เครื่องอัดรีด และเครื่องอัดเบ้า

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยางเทอร์โมพลาสติก Thermoplastic Elastomer

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกชีวภาพคืออะไร – What is Bioplastic?

พลาสติกชีวภาพเป็นพลาสติกที่ได้มาจากแหล่งของไบโอมาสมองที่หมายถึงสารพลาสติกที่ได้มาจากวัตถุชีวภาพที่มีการเจริญเติบโตแบบต่าง ๆ เช่น ไขมันพืชและน้ำมัน แป้งข้าวโพด แป้งถั่วหรือจุลินทรีย์ในรูปแบบพลังงานชีวภาพ พลาสติกทั่วไปที่มาจากน้ำมันหินปูน หรือพลาสติกที่มาจากแหล่งเชื้อเพลิงจำพวกน้ำมันหินปูน เพลิกโซนฉะนึ่งมากขึ้นและผลิตมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นเช่นกัน บางพลาสติกชนิดที่เป็นพลาสติกชีวภาพถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถสลายตัวได้ พลาสติกชีวภาพที่สามารถสลายตัวได้เรียกว่าประเภทไบโอดีกราเดเบิล และสามารถย่อยสลายได้ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจน ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต วัสดุที่อาจประกอบด้วยไบโอพอลิเมอร์อย่างได้แก่ แป้ง ซีลลูโลส หรือไบโอโพลิเมอร์อื่น ๆ การใช้งานที่พบบ่อยของพลาสติกชีวภาพคือ วัสดุบรรจุภัณฑ์ เครื่องปรุงอาหาร บรรจุภัณฑ์อาหาร และวัสดุกันความร้อน

ช้อนตักขนม ไบโอพลาสติก

พลาสติกชีวภาพ

พลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ใช้สำหรับสิ่งที่ใช้ครั้งเดียว เช่น วัสดุบรรจุภัณฑ์และอุปกรณ์ในงานบริการ (จาน ชาม ช้อน แก้ว ถ้วย หรือหลอด) นอกจากนี้พลาสติกชีวภาพยังมักถูกใช้ในถุง ถาด ภาชนะสำหรับผลไม้ ผัก ไข่ และเนื้อ ขวดสำหรับเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงแผ่นพลาสติกลอบทำบุ๋งสำหรับผลไม้และผัก

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

แนวทางที่เรายึดถือคือการลดต้นทุนในการบรรจุภัณฑ์ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ซึ่งเป็นหัวใจของกลยุทธ์ธุรกิจของเรา การลดขนาดและน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์จะช่วยลดต้นทุนในด้านวัสดุ พลังงานและค่าขนส่ง การออกแบบโครงสร้างและวัสดุให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องบรรจุจะทำให้การบรรจุภัณฑ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ยินดีต้อนรับสู่ เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ผู้ผลิตขวดพลาสติก และ บรรจุภัณฑ์ ฉีด และ เป่าพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก เชี่ยวชาญในการผลิตขึ้นรูปพลาสติก รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง รวมถึง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ขวดพลาสติก กระปุกครีม หัวปั๊ม หัวสเปรย์ ช้อน ถ้วยตวง ฝาแบบต่างๆ ชิ้นส่วนอะไหล่พลาสติก ฯลฯ รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก รับผลิตงานตามแบบ ผลิตแม่พิมพ์พลาสติก จากประสบการณ์กว่า 30 ปี จากประสบการณ์กว่า 30 ปี

แนวทางลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

แนวทางของเราคือการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ซึ่งมีเป้าหมายธุรกิจอย่างชัดเจน การลดบรรจุภัณฑ์ทำให้เราได้รับประโยชน์ด้านต้นทุนในวัสดุ พลังงานและการขนส่ง

กระปุกครีม-250กรัม

วิธีการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์: แนวทางประหยัดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจ แต่ยังช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย การเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่ายและลดความสูญเสียในกระบวนการขนส่ง โดยวิธีการหลักที่แนะนำ ได้แก่:

  1. ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา
    การเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาจะช่วยลดต้นทุนด้านวัสดุ พลังงาน และค่าขนส่ง ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากขวดแก้วหนักมาใช้ขวดพลาสติกที่น้ำหนักเบากว่า ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานในการขนส่ง นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์น้ำหนักเบายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและการจัดการสินค้า ตัวอย่างเช่น บรรจุภัณฑ์แบบขวด PE ที่น้ำหนักเบาแต่ยังคงความแข็งแรงเพียงพอ
  2. พัฒนาการออกแบบโครงสร้างและวัสดุอย่างเหมาะสม
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับลักษณะของผลิตภัณฑ์จะช่วยลดการใช้วัสดุที่เกินความจำเป็นและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน เช่น การออกแบบขวดที่ใช้พื้นที่น้อยลงเมื่อจัดเก็บหรือขนส่ง หรือการใช้วัสดุแบบผสมที่มีความแข็งแรงทนทานแต่ใช้วัตถุดิบน้อยกว่า ตัวอย่างคือ การออกแบบกล่องที่มีช่องแบ่งภายในเพื่อป้องกันการกระแทก ลดการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์เสริม
  3. พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้มข้นมากขึ้น
    สำหรับสินค้าบางประเภท การเพิ่มความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ช่วยลดขนาดของบรรจุภัณฑ์และปริมาณที่ใช้ เช่น น้ำยาทำความสะอาดแบบเข้มข้นที่ผู้บริโภคสามารถผสมเองได้ ช่วยลดขนาดของขวดบรรจุภัณฑ์ รวมถึงลดต้นทุนในการผลิตและขนส่ง
  4. กำจัดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น
    การกำจัดบรรจุภัณฑ์ชั้นในหรือส่วนที่ไม่จำเป็นช่วยลดต้นทุนและลดปริมาณขยะ ตัวอย่างเช่น การลดการใช้พลาสติกห่อในผลิตภัณฑ์บางประเภท หรือการลดชั้นบรรจุภัณฑ์เพิ่มเติม เช่น การขายสินค้าในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ชั้นเดียวแทนการใช้กล่องภายนอกหลายชั้น
  5. ซื้อในจำนวนมากและนำไปใช้ในหลายสายผลิตภัณฑ์
    การซื้อวัสดุในปริมาณมากเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย และนำไปใช้กับหลายสายผลิตภัณฑ์ช่วยลดต้นทุนได้ดี ตัวอย่างเช่น การซื้อขวดพลาสติกในขนาดที่สามารถปรับใช้กับผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด จะช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนในการจัดซื้อวัสดุและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต

เราให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ของคุณ https://www.kvjunion.com/contact-us

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

แนวโน้มส่งออกเครื่องสำอางผสมสมุนไพรไทย 2013

แนวโน้มส่งออกเครื่องสำอางผสมสมุนไพรไทยไปตลาดยูเออีสดใส

นนทบุรี 7 ก.ค.- กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเผยแนวโน้ม-ภาวะตลาดสินค้าเครื่องสำอางในดูไบ เผยผลิตภัณฑ์สปา สมุนไพรมาแรง ชี้ต้องปรับแพ็คเกจให้เป็นที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ เครื่องสำอางผู้ชายโตร้อยละ 70

สมุนไพรไทย

นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) เปิดเผยรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคร.) ณ เมืองดูไบ ถึงแนวโน้มและภาวะตลาดสินค้าเครื่องสำอาง ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ว่า ยูเออีมีการนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางและสุขภาพจากทั่วโลกมีมูลค่ า 1,870 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 56,100 ล้านบาท โดยผ่านรัฐดูไบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าของยูเออี มีการนำเข้าจากเยอรมนี ฝรั่งเศส อินเดีย อังกฤษ และ ไอร์แลนด์ ตามลำดับ ส่วนการนำเข้าจากไทยในปี 2555 นำเข้าเครื่องสำอางฯ จากไทยมีสัดส่ วนคิดเป็นร้อยละ 2 หรือคิดเป็นมูลค่า 37.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,122 ล้านบาท

ทั้งนี้ ตลาดมีแนวโน้มการนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับสปา แต่สินค้าจากไทยจะต้องมีการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น เพราะจะต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศยุโรป หรือจากเอเชียอื่น ๆ รวมถึงจะต้องปรับปรุงรูปแบบ กลิ่น สี ให้เหมาะสมกับความนิยมของตลาดอยู่ ตลอดเวลา เน้นรูปแบบบรรจุภัณฑ์สวยงาม ตั้งราคาให้เหมาะสมแข่งขันกับสินค้าระดับเดียวกันได้ เพื่อให้ผู้นำเข้าสามารถนำไปใช้จำหน่ายและใช้เป็นสินค้าส่งออกต่อไปที่อื่นได้อีก

แนวโน้มเจาะตลาดยูเออีได้มากขึ้น คือ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากสินค้าของประเทศอื่น ๆ นอกจากเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้าแล้ว เครื่องสำอางสปาและสมุนไพร หรือ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้น ได้รับความนิยมในประเทศนี้เช่นกัน” นางศรีรัตน์ กล่าว

นายณัฐพงศ์ บุญจริง ผอ.สคร. ดูไบ กล่าวว่า เครื่องสำอางบำรุงผิวผู้ชายคาดว่าจะมีมูลค่าตลาด 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 ซึ่งในช่วงปี 2554-2555 มีการวิจัยพบว่าสินค้ากลุ่มนี้มีความต้องการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 จากมูลค่าการนำเข้าเครื่องสำอางชายดังกล่าว สินค้ากว่าร้อยละ 30 เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ชาย สินค้าที่นิยมและมีการขยายตัวเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ได้แก่ ครีมบำรุงผิวหลังโกนหนวด ครีมบำรุงหน้า สำหรับผิวมันและผิวผสม และครีมบำรุงผิวลดริ้วรอย ปรับให้ผิวดูกระจ่างใส ประกอบสารต่อต้านอนุมูลอิสระไปจนถึงผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงแดด

“ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ผู้ชายตะหนักเรื่องการดูแลผิวพรรณมากขึ้น เพราะหากปล่อยปละละเลยในการดูแลสุขภาพและผิวพรรณนั้น จะทำให้ริ้วรอยแห่งวัยจะปรากฏได้ง่ายและเร็ว พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางของผู้ชายมักจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากเคาน์เตอร์ในซูเปอร์มาร์เก็ต มากกว่าจะเข้าร้านที่จำหน่ายเฉพาะ” นายณัฐพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอางของยูเออี มีการขยายตัวขึ้นตามจำนวนโรงงานผลิตเครื่องสำอางมีมากขึ้น ประกอบกับผู้ซื้อในยูเออีมีกำลังการใช้จ่ายสูง สินค้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อ และยังมีเครื่องสำอางรุกเข้าไปจำหน่ายปลีกผ่านช่องทางตลาดอิเล็กทรอนิกส์หรือ อินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้สนใจสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้นแนวโน้มเครื่องสำอางผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในตลาดยูเออี จึงมีโอกาสการขยายตัวอีกมาก แต่ธุรกิจเครื่องสำอางในดูไบ ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงของแบรนด์ ทั้งจากยุโรป อเมริกา อังกฤษ อิตาลี โดยเฉพาะแบรนด์เกาหลีที่เข้าไปสร้างสีสันชิงความสนใจของลูกค้า

MP59CM ขวดแชมพูแบบสั่งทำ (2)

สำหรับการค้าในดูไบมีกฎระเบียบนำเข้าที่เคร่งครัด เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องสัมผัสกับร่างกาย ผิวหนังโดยตรง ต้องปฏิบัติตามหลักสากล และเป็นระเบียบเดียวกับประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับหรือ จีซีซี (GCC : Gulf cooperation Council) ได้แก่ บาห์เรน คูเวต รัฐสุลต่านโอมาน รัฐกาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เช่ น วัตถุดิบที่ใช้ต้องปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ซึ่งรวมทั้งสารประกอบที่ใช้เป็นส่ วนผสมของการผลิต ตลอดจนสารเคมีหรือสารสกัดจากธรรมชาติ จึงต้องมีข้อกำหนด อาทิ สลากสินค้า ผู้ได้รับอนุญาตนำเข้า รายละเอียดชื่อ ส่วนผสมต่าง ๆ วิธีการใช้งาน เป็นภาษาอารบิก วันหมดอายุ ห้ามใช้ภาพประกอบที่ล่อแหลม ไม่เหมาะสมขัดต่อวัฒนธรรมเป็นต้น.

Credit: mcot.net

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Cap and Neck Closure (สเปกรูปแบบขนาดฝาเกลียวขวด)

สเปกแบบขนาดฝาเกลียวขวด

ขนาดฝาและคอขวด (เช่น 28/410, 28/400, 28/415) เป็นมาตรฐานที่ใช้เพื่อให้ฝาและคอขวดเข้ากันได้อย่างพอดี ซึ่งมีความสำคัญสำหรับบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ เช่น โลชั่น แชมพู และของเหลวอื่น ๆ เพื่อให้ปิดได้แน่นสนิท ป้องกันการรั่วซึม

การอธิบายแต่ละส่วนของขนาดรหัส:

  1. ตัวเลขแรก (28): หมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของฝาหรือคอขวดในหน่วยมิลลิเมตร ในกรณีนี้ “28″ หมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของฝาหรือคอขวดขนาด 28 มม.
  2. ตัวเลขที่สอง (400, 410, 415): หมายถึงรูปแบบของเกลียวหรือความสูงของคอขวด ซึ่งมีหน่วยเป็นเศษส่วนร้อยของนิ้ว โดยค่าต่าง ๆ จะส่งผลต่อความลึกและการออกแบบของฝาเพื่อให้พอดีกับระบบปิดต่าง ๆ

การเปรียบเทียบขนาดคอขวดที่แตกต่างกัน

  • 28/400:
    • ความสูงของเกลียว: ซีรีส์ 400 มีความสูงของคอสั้นที่สุดในสามแบบ มีเกลียวเพียงหนึ่งรอบ
    • การใช้งาน: เหมาะกับฝาปิดแบบธรรมดา (เช่น ฝาเกลียว) ที่ไม่ต้องการคอขวดที่สูงมากนัก
  • 28/410:
    • ความสูงของเกลียว: สูงกว่าซีรีส์ 400 เล็กน้อย ทำให้มีการยึดเกลียวที่แน่นขึ้น เหมาะสำหรับฝาปิดแบบใช้จ่าย เช่น หัวสเปรย์หรือฝาดิสค์
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับระบบจ่ายของเหลวทั่วไป (เช่น โลชั่นหรือหัวฉีดน้ำ) ที่ต้องการคอขวดที่สูงกว่าเล็กน้อยเพื่อให้ฝาปิดได้แน่นหนาขึ้น
  • 28/415:
    • ความสูงของเกลียว: สูงที่สุดในสามแบบ มีเกลียวมากขึ้นที่ช่วยยึดฝาได้แน่นกว่า
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับระบบจ่ายของเหลวขนาดใหญ่ เช่น หัวสเปรย์แบบฉีด (trigger sprayers) ที่ต้องการความมั่นคงและความพอดีที่แน่นหนา ให้ความทนทานต่อการรั่วซึมมากขึ้นเนื่องจากมีการยึดเกลียวที่มากขึ้น

ความแตกต่างหลักของขนาดเหล่านี้คือความสูงของคอขวดและความลึกของเกลียว ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้งานกับฝาและระบบปิดต่าง ๆ การเลือกใช้ขนาดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์และความต้องการในการยึดเกลียวให้แน่น

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับขนาดฝาเกลียวขวด

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: [email protected]
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกคืออะไร… So…just what are plastics?

พลาสติกได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของเรามาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ตั้งแต่การใช้ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เช่น เข็มขัดนิรภัย หรือหน้าต่างในร้านอาหารไดรฟ์ทรู ไปจนถึงการปรากฏในวัฒนธรรมป๊อปต่างๆ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงสับสนเกี่ยวกับคำจำกัดความของพลาสติกที่แท้จริง พลาสติกถูกพัฒนาขึ้นมาเล็กน้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ และเริ่มมีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมันกลายเป็นวัสดุทดแทนที่มีคุณค่าเมื่อวัสดุดั้งเดิมขาดแคลน จากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 พลาสติกได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก

ขวดใส่แอลกอฮอล์

พื้นฐานของพลาสติก

พลาสติกถูกสร้างขึ้นจากโครงสร้างของโมเลกุลที่เรียกว่า “โพลิเมอร์” ซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อของโมโนเมอร์ซ้ำๆ กันเป็นสายโซ่ยาว โดยชื่อของพลาสติกหลายชนิดมักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า “โพลี” เช่น โพลิเอทิลีน โพลิสไตรีน และโพลิโพรพิลีน เพราะมันประกอบด้วยโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น โพลิเอทิลีนประกอบด้วยโมโนเมอร์ของเอทิลีนที่ต่อกันเป็นสายเหมือนลูกปัดในสร้อยคอ โพลิเมอร์เหล่านี้อาจประกอบด้วยธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน หรืออาจมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ คลอรีน ฟลูออรีน ฟอสฟอรัส หรือซิลิกอน ทั้งนี้ทำให้พลาสติกมีความหลากหลายในโครงสร้างและการใช้งาน

กระบวนการผลิตพลาสติก

พลาสติกเริ่มต้นกระบวนการผลิตที่โรงกลั่นหรือโรงงานเคมี ซึ่งวัตถุดิบจะถูกเปลี่ยนเป็นโพลิเมอร์ โดยโพลิเมอร์ส่วนใหญ่จะถูกทำให้เป็นเม็ดเล็ก ๆ เพื่อความสะดวกในการขนส่งไปยังผู้ผลิตสินค้าและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกหลากหลายประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ อุตสาหกรรมพลาสติกเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก โดยมีการสร้างรายได้มหาศาลและการจ้างงานในหลายประเทศทั่วโลก บริษัทผู้ผลิตพลาสติกจำนวนมากยังปฏิบัติตามมาตรการที่เข้มงวดในการจัดการและการผลิตอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

พลาสติกชีวภาพ: ทางเลือกใหม่ของวัสดุที่ยั่งยืน

พลาสติกชีวภาพกำลังกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในยุคที่มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน พลาสติกชีวภาพผลิตจากวัตถุดิบที่มาจากพืช เช่น ข้าวโพดและอ้อย พลาสติกยุคแรก ๆ อย่างเซลโลเฟน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของพลาสติกชีวภาพที่ถูกพัฒนาขึ้น อย่างไรก็ตาม พลาสติกจากปิโตรเลียมที่มีประสิทธิภาพมากกว่ากลับมาแทนที่ในยุคต่อมา

ถึงแม้ว่าพลาสติกชีวภาพจะให้ความหวังในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณสมบัติการย่อยสลายทางชีวภาพอยู่มาก พลาสติกชีวภาพบางชนิด เช่น PET ที่ทำจากพืช มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับพลาสติกจากปิโตรเลียม ซึ่งสามารถรีไซเคิลได้ แต่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ขณะที่พลาสติกชนิด PLA สามารถย่อยสลายในโรงงานทำปุ๋ยหมักเชิงพาณิชย์ได้ แต่ยังมีข้อจำกัดในการรีไซเคิลในหลายพื้นที่

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลาสติกและพลาสติกชีวภาพ รวมถึงกระบวนการผลิตและความยั่งยืนของวัสดุเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญในยุคที่นวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมพลาสติกยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราใช้งานพลาสติกอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ประเภทของบรรจุภัณฑ์

การจำแนกประเภทบรรจุภัณฑ์สามารถแบ่งออกได้หลายวิธี ดังนี้:

กระปุกครีมสีชมพู-100-กรัม-โฟม-และ-แผ่นรอง

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวิธีการบรรจุและขนถ่าย

บรรจุภัณฑ์สามารถจัดแบ่งได้หลากหลายรูปแบบตามวิธีการบรรจุและขนถ่ายสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานในแต่ละลักษณะ ดังนี้:

  1. บรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วย (Individual Package)
    เป็นบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสโดยตรงกับผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดน้ำ กล่องใส่ครีม หรือบรรจุภัณฑ์สินค้าชิ้นเดียว โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มมูลค่าทางการค้า อำนวยความสะดวกต่อการใช้งาน และป้องกันผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนและความเสียหาย ถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นผลิตภัณฑ์
  2. บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Inner Package)
    บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมบรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วยให้เป็นชุดเดียวกัน เช่น การบรรจุเครื่องดื่ม 12 ขวดในกล่องกระดาษ โดยมีหน้าที่หลักในการป้องกันสินค้าแต่ละหน่วยจากความชื้น แสงแดด และแรงกระแทกในระหว่างการขนส่ง เป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บและขนย้ายสินค้าในปริมาณมากขึ้น
  3. บรรจุภัณฑ์ชั้นนอกสุด (Outer Package)
    เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าในปริมาณมาก เช่น ลังไม้ หรือกล่องกระดาษลูกฟูกขนาดใหญ่ มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องสินค้าในระหว่างการขนส่งจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระแทกหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

  1. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขายปลีก (Consumer Package)
    เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อเพื่อนำไปใช้งาน อาจเป็นบรรจุภัณฑ์ชั้นแรกหรือชั้นที่สองที่มีการออกแบบเพื่อความสะดวกในการจับจ่าย เช่น กล่องบรรจุสินค้า เครื่องดื่ม หรือบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
  2. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Transportation Package)
    ใช้ในการรวบรวมบรรจุภัณฑ์ขายปลีกเข้าด้วยกันในหน่วยใหญ่ เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการขนส่ง เช่น กล่องกระดาษลูกฟูกที่บรรจุสินค้าเป็นชุด ช่วยให้สามารถจัดการขนส่งได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามความคงรูป

  1. บรรจุภัณฑ์รูปทรงแข็งตัว (Rigid Forms)
    ทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรง เช่น แก้ว เซรามิก ขวดพลาสติก และโลหะ บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มีความทนทานสูง สามารถป้องกันผลิตภัณฑ์จากสภาพแวดล้อมภายนอกได้อย่างดี เช่น แรงกระแทกและการรั่วซึม
  2. บรรจุภัณฑ์รูปทรงกึ่งแข็งตัว (Semirigid Forms)
    ทำจากวัสดุเช่น พลาสติกอ่อน กระดาษแข็ง หรืออลูมิเนียมบาง มีความคงทนในระดับปานกลางและมักมีราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารและสินค้าที่ต้องการความยืดหยุ่นบางส่วน
  3. บรรจุภัณฑ์รูปทรงยืดหยุ่น (Flexible Forms)
    ทำจากวัสดุที่อ่อนตัว เช่น แผ่นพลาสติกหรือฟิล์ม ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากมีน้ำหนักเบา ราคาถูก และสามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถุงฟิล์มห่ออาหาร หรือถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุของแห้ง

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวัสดุที่ใช้

บรรจุภัณฑ์สามารถจัดประเภทได้ตามวัสดุที่ใช้ เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ หรือกระดาษ ซึ่งแต่ละวัสดุมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดยการเลือกวัสดุขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ผลิตและความต้องการตลาด เช่น การป้องกันผลิตภัณฑ์ การจัดเก็บ การขนส่ง และการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของสินค้า

การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมและการออกแบบที่ดีจะช่วยให้สินค้าของคุณตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการปกป้องสินค้า การใช้งาน และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในตลาด.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Checklist ของบรรจุภัณฑ์ที่ดี

รายการตรวจสอบสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ดี

ข้อควรรู้ในการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าของคุณ

เมื่อพูดถึงการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าคุณจะออกแบบด้วยตัวเองหรือจ้างนักออกแบบ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจรายละเอียดและข้อควรรู้เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ที่สร้างขึ้นนั้นตอบสนองต่อความต้องการทั้งของสินค้าและลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ นี่คือรายการตรวจสอบคุณสมบัติที่พึงประสงค์ 5 ข้อ หรือที่เรียกว่า “5 C Checklist” เพื่อให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมีคุณสมบัติที่ดีครบถ้วน:

ขวดปั๊มโลชั่น-450ml

  1. Contain and Protect – การบรรจุและปกป้อง
    บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถปกป้องสินค้าจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง การจัดเก็บ และการใช้งานได้ดี เพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้คงอยู่ถึงมือผู้บริโภคอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการออกแบบที่เหมาะสมกับโลจิสติกส์ เช่น ขนาดที่พอดี น้ำหนักที่เหมาะสม และการจัดเก็บที่สะดวก
  2. Communication – การสื่อสาร
    บรรจุภัณฑ์ควรทำหน้าที่เป็นสื่อที่สื่อสารข้อมูลที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย (ส่วนผสม สารประกอบ) และข้อมูลทางการตลาดที่ช่วยสร้างความดึงดูดใจ เช่น จุดเด่นของสินค้า การสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์ต้องชัดเจน น่าสนใจ และดึงดูดสายตาผู้บริโภค
  3. Convenience – ความสะดวกสบาย
    ความสะดวกสบายในการใช้งานบรรจุภัณฑ์มีผลต่อประสบการณ์ของผู้บริโภค บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย เช่น ขวดที่ถือสะดวก เทง่าย หรือกล่องที่พกพาสะดวก จะช่วยสร้างความพึงพอใจและกระตุ้นการซื้อซ้ำ
  4. Consumer Appeal – แรงดึงดูดใจของผู้บริโภค
    บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภคสามารถทำหน้าที่เป็น “นักขายเงียบ” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย การออกแบบโครงสร้าง สี และข้อความบนบรรจุภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์จะช่วยสร้างความจดจำและกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคให้เลือกซื้อสินค้า
  5. Conserve Environment – การรักษาสิ่งแวดล้อม
    ในปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากขึ้น การเลือกใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ หรือใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มคุณค่าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน

ตรวจสอบให้ครบถ้วนด้วย “5 C Checklist” นี้ จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการทั้งในด้านการใช้งาน การสร้างภาพลักษณ์ และความยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

10 กลยุทธ์สำหรับการบรรจุภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ

โลโก้นูนบนชิ้นงานบรรจุภัณฑ์

10 กลยุทธ์เพื่อความสำเร็จในการออกแบบบรรจุภัณฑ์

  1. ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่น (Make your product stand out)
    บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรดึงดูดความสนใจทันทีที่ผู้บริโภคเห็นบนชั้นวาง การเลือกใช้สี การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และกราฟิกที่สะดุดตาจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง
  2. แตกต่างจากเดิม (Break with convention)
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ซ้ำใครทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่จดจำ ไม่ต้องกลัวที่จะฉีกแนวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เช่น รูปทรงแปลกใหม่ หรือการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  3. บรรจุภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน (Products with purpose)
    บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรสะท้อนคุณค่าและเป้าหมายของสินค้า เช่น การใช้วัสดุที่ยั่งยืน หรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า
  4. เพิ่มบุคลิกภาพให้กับบรรจุภัณฑ์ (Add personality)
    บรรจุภัณฑ์สามารถสะท้อนตัวตนและบุคลิกของแบรนด์ได้ การใช้ข้อความสนุกสนานหรือกราฟิกที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มความน่าจดจำและสร้างการเชื่อมโยงระหว่างลูกค้ากับแบรนด์
  5. สร้างความรู้สึกที่ดีให้ผู้บริโภค (Feel-good factor)
    บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบให้ใช้งานง่ายและสะดวก เช่น เปิดง่ายหรือพกพาสะดวก จะทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ดีและมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ
  6. ดีไซน์เรียบง่ายและเข้าใจง่าย (Keep it simple)
    บรรจุภัณฑ์ที่มีดีไซน์เรียบง่ายและชัดเจนช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจข้อมูลสำคัญ เช่น ประโยชน์หรือวิธีใช้ของผลิตภัณฑ์ และช่วยให้การตัดสินใจซื้อรวดเร็วขึ้น
  7. การใช้ตราสินค้าแบบลำดับชั้น (Tiered branding)
    การแบ่งลำดับชั้นของตราสินค้าช่วยให้ผู้บริโภคแยกหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ได้ง่าย เช่น ใช้สีหรือการออกแบบที่แตกต่างกันสำหรับสินค้าระดับพรีเมียมและมาตรฐาน เพื่อสร้างความชัดเจนและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
  8. คำนึงถึงต้นทุนในการขนส่ง (The cost of transport)
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เบาและทนทานช่วยลดต้นทุนการขนส่ง บรรจุภัณฑ์ที่จัดเรียงได้ง่ายและใช้พื้นที่น้อยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้า
  9. ความสะดวกในการจัดเรียง (Speed to shelf)
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่จัดเรียงง่ายบนชั้นวางสินค้าช่วยเพิ่มความเร็วในการวางขาย ทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  10. ปกป้องผลิตภัณฑ์และป้องกันการปลอมแปลง (Protect yourself)
    บรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องปกป้องผลิตภัณฑ์จากความเสียหายและการปลอมแปลง การใช้ซีลป้องกันหรือระบบป้องกันการเปิดช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ขวดโลชั่นชุดเดินทาง

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การทดสอบบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อความปลอดภัยในอุตสาหกรรมอาหาร

กระปุกโปรตีน-และ-อาหารเสริม

บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร มีบทบาทสำคัญในการปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ รักษาความสด และป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม การทดสอบบรรจุภัณฑ์พลาสติกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค

การทดสอบที่สำคัญของบรรจุภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมอาหาร

  1. การทดสอบการซึมผ่านของสารเคมี:
    • บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารต้องผ่านการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายซึมผ่านจากพลาสติกเข้าสู่อาหาร
    • ใช้การทดสอบจำลอง (Migration Testing) เพื่อประเมินการปล่อยของสารที่อาจเป็นอันตราย เช่น สารปนเปื้อนจากสีหรือสารเติมแต่งที่ใช้ในการผลิตพลาสติก
  2. การทดสอบความแข็งแรงและความทนทาน:
    • บรรจุภัณฑ์พลาสติกต้องผ่านการทดสอบความแข็งแรงเพื่อให้มั่นใจว่าไม่แตกหรือเสียหายง่ายเมื่อถูกบีบอัด หรือเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
    • การทดสอบความทนต่อแรงกระแทกช่วยป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษา
  3. การทดสอบการป้องกันการซึมผ่านของความชื้นและอากาศ:
    • บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถป้องกันการซึมผ่านของความชื้น อากาศ และก๊าซต่าง ๆ ได้ เพื่อรักษาความสดใหม่ของอาหารและป้องกันการเกิดเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
    • ใช้การทดสอบค่าการซึมผ่านของไอน้ำ (Water Vapor Transmission Rate) และการซึมผ่านของออกซิเจน (Oxygen Transmission Rate)
  4. การทดสอบความทนทานต่ออุณหภูมิ:
    • บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารต้องทนต่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำได้ เช่น การอุ่นอาหารในไมโครเวฟ หรือการเก็บในช่องแช่แข็งโดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหรือเคมีที่อาจเป็นอันตราย
  5. การทดสอบสารปนเปื้อน (Heavy Metal Testing):
    • ตรวจสอบการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว หรือแคดเมียม ที่อาจมาจากกระบวนการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยอาหาร
  6. การทดสอบความปลอดภัยทางจุลชีววิทยา:
    • การตรวจสอบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในบรรจุภัณฑ์ เช่น แบคทีเรียหรือรา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอาหารและส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ใช้วัสดุพลาสติกทำบรรจุภัณฑ์

วัสดุพลาสติกสำหรับทำบรรจุภัณฑ์: บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

บรรจุภัณฑ์พลาสติก ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหลากหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในด้านการออกแบบ น้ำหนักเบา ทนทาน และสามารถป้องกันการรั่วซึมของผลิตภัณฑ์ได้ดี นอกจากนี้ยังมีวัสดุพลาสติกหลากหลายประเภทที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะที่ตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้:

วัสดุพลาสติกที่นิยมใช้ในบรรจุภัณฑ์

  1. PET (Polyethylene Terephthalate):
    • คุณสมบัติ: โปร่งใส น้ำหนักเบา และทนทานต่อแรงกระแทก
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม อาหาร และบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความโปร่งใสเพื่อแสดงเนื้อในของผลิตภัณฑ์
  2. HDPE (High-Density Polyethylene):
    • คุณสมบัติ: ทึบแสง ทนต่อสารเคมี และมีความแข็งแรง
    • การใช้งาน: เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรง เช่น ขวดนม ขวดน้ำมัน บรรจุภัณฑ์สารเคมีกระปุกทรงกระบอกขนาด-100กรัม
  3. PP (Polypropylene):
    • คุณสมบัติ: ทนความร้อนสูง ยืดหยุ่น และมีความโปร่งใสในระดับหนึ่ง
    • การใช้งาน: นิยมใช้ทำบรรจุภัณฑ์อาหารที่ต้องการทนความร้อน เช่น กล่องบรรจุอาหาร หรือถ้วยใส่อาหารในไมโครเวฟ
      ขวดซอสฝาแหลม-PP-ทนความร้อน
  4. PVC (Polyvinyl Chloride):
    • คุณสมบัติ: โปร่งใส ยืดหยุ่นได้ดี และสามารถขึ้นรูปได้หลากหลาย
    • การใช้งาน: ใช้ในการผลิตฟิล์มห่ออาหารหรือขวดบรรจุของเหลวบางประเภท

      ขวดยาจีน

  5. LDPE (Low-Density Polyethylene):
    • คุณสมบัติ: นุ่ม ยืดหยุ่นสูง และทนต่อความชื้น
    • การใช้งาน: นิยมใช้ทำถุงพลาสติก บรรจุภัณฑ์ฟิล์มบาง และขวดบีบต่างๆ
      หลอดเจล 30cc
  6. PS (Polystyrene):
    • คุณสมบัติ: โปร่งแสง สามารถขึ้นรูปได้ง่าย
    • การใช้งาน: ใช้ทำถ้วยพลาสติก กล่องอาหาร และบรรจุภัณฑ์โฟม
      ฝาพลาสติก-สีบรอนซ์เงิน

ประโยชน์ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก:

  • น้ำหนักเบา: ทำให้สะดวกในการขนส่ง ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
  • ทนทานและแข็งแรง: สามารถป้องกันการกระแทกและการเสียหายของผลิตภัณฑ์ได้ดี
  • ความหลากหลายในการออกแบบ: สามารถปรับแต่งรูปทรงและขนาดได้ตามความต้องการของลูกค้า
  • ราคาย่อมเยา: เมื่อเทียบกับวัสดุอื่นๆ บรรจุภัณฑ์พลาสติกมักมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า
  • ป้องกันการรั่วซึมและความชื้น: ทำให้สามารถรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ภายในได้ดี

ข้อควรพิจารณาในการเลือกบรรจุภัณฑ์พลาสติก:

  • การเลือกวัสดุพลาสติกที่เหมาะสมกับชนิดของผลิตภัณฑ์
  • ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาการใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้หรือใช้พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้

การใช้ บรรจุภัณฑ์พลาสติก ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ในด้านการใช้งานที่หลากหลาย แต่ยังสามารถปรับแต่งให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์และความต้องการเฉพาะของแบรนด์ได้อย่างลงตัว

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ ปี 2556

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ ปี 2556 Packaging Trend 2013

Showroom2

เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มบรรจุภัณฑ์ในปี 2556, Scott Steele ประธานบริษัท Plastics Technology ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องสินค้าอย่างคุ้มค่า แม้ว่าปัจจัยด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์ รูปทรง และฟังก์ชั่นการใช้งานจะมีส่วนช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ แต่ต้นทุนยังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อุตสาหกรรมให้ความสำคัญ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนี้:

1. การรีไซเคิล

ถึงแม้แนวคิดเรื่อง การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ สมาคม American Chemistry Council และสมาคมผู้ประกอบการรีไซเคิลพลาสติก (APR) ได้เผยแพร่ข้อมูลในปี 2555 ว่ามีการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมเชื่อว่าสามารถผลักดันให้การรีไซเคิลเพิ่มขึ้นได้หากให้ความรู้แก่ผู้บริโภคและเน้นย้ำความสำคัญของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รายงานจาก The Freedonia Group คาดการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาจะต้องเพิ่มปริมาณการรีไซเคิลพลาสติก 6.5% ต่อปี เพื่อบรรลุเป้าหมายในการรีไซเคิลพลาสติก 3,500 ล้านปอนด์ภายในปี 2559 การบรรลุเป้าหมายนี้จะต้องใช้ทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐ การพัฒนากระบวนการรีไซเคิล และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วให้เป็นเม็ดเรซินคุณภาพสูง

2. การใช้พลาสติกชีวภาพที่เพิ่มขึ้น

แม้ว่าพลาสติกชีวภาพจะครองส่วนแบ่งเพียง 1% ของตลาดพลาสติกทั้งหมด แต่นักวิเคราะห์จาก NanoMarkets คาดการณ์ว่าตลาดนี้จะเติบโตถึง 7% ภายในปี 2563 อย่างไรก็ตาม เพื่อให้พลาสติกชีวภาพสามารถแข่งขันได้ในตลาด จำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิต ปัจจุบัน พลาสติกชีวภาพมีราคาสูงกว่าพลาสติกปิโตรเลียม 2-3 เท่า การลดต้นทุนจะเกิดขึ้นได้หากมีการผลิตในปริมาณที่มากขึ้น และการใช้วัตถุดิบที่ถูกลง เช่น แป้งมันสำปะหลังในการผลิต PLA (Polylactic Acid) นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มในการนำ PET ชีวภาพ (Bio-PET) มาใช้แทนพลาสติกที่มาจากฟอสซิล และการใช้โฟม PLA ในบรรจุภัณฑ์อาหารจะเพิ่มขึ้นด้วย

3. การขยายตลาดเป็นกุญแจสำคัญ

บริษัท PCI Films Consulting ได้ระบุ 13 ตลาดที่น่าสนใจสำหรับบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ได้แก่ โปแลนด์ รัสเซีย ตุรกี เม็กซิโก บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไนจีเรีย และแอฟริกาใต้ ตลาดเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ และเติบโตเกือบ 70% ตั้งแต่ปี 2549 คิดเป็น 20% ของความต้องการในตลาดโลก การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของซุปเปอร์มาร์เก็ต

4. การเติบโตของบรรจุภัณฑ์แบบ Pouches

บรรจุภัณฑ์ Pouches หรือถุงทนความร้อน กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น จากรายงานของบริษัท Mintel International ในปี 2553 มีผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 1,210 รายการที่ใช้บรรจุภัณฑ์แบบ Pouches ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 885 รายการในปี 2550 นอกจากนี้ความต้องการบรรจุภัณฑ์ Pouches ในสหรัฐอเมริกายังคงเพิ่มขึ้น 5.1% ต่อปี และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 8,800 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2559 โดยบรรจุภัณฑ์แบบ Stand-up Pouch (ชนิดตั้งได้) คาดว่าจะเติบโต 7.2% ต่อปี โดยมีอุตสาหกรรมอาหารเป็นตลาดหลัก เนื่องจากบรรจุภัณฑ์แบบ Pouches มีข้อได้เปรียบในเรื่องน้ำหนักเบา ประหยัดค่าขนส่ง และลดปริมาณการใช้วัสดุเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์แบบแข็ง

แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ในปี 2556 ชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาและปรับตัวในหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องการรีไซเคิล การใช้พลาสติกชีวภาพ และการขยายตลาดใหม่ ๆ บรรจุภัณฑ์แบบ Pouches ยังคงเป็นที่ต้องการสูงเนื่องจากข้อดีด้านความสะดวกและต้นทุนที่ต่ำ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการปรับลดต้นทุนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ต่อไปในอนาคต

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกจากข้าวโพด

พลาสติก: วัสดุสารพัดประโยชน์กับความท้าทายทางสิ่งแวดล้อม

พลาสติกเป็นวัสดุที่คุ้นเคยและพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน พลาสติกถูกใช้ในหลากหลายกิจกรรมเนื่องจากคุณสมบัติที่ทนทานและความหลากหลายของการใช้งาน พลาสติกประกอบขึ้นจากสารโพลิเมอร์ (polymer) ซึ่งเกิดจากการเรียงต่อกันของมอนอเมอร์ (monomer) เช่น สไตรีน (styrene) ที่นำไปผลิตเป็นพอลิสไตรีน (polystyrene) ใช้ทำโฟมหรือแก้วกาแฟ, เอทิลีนและโพรพิลีน (ethylene, propylene) สำหรับถุงพลาสติก, ไวนิลคลอไรด์ (vinyl chloride) สำหรับท่อประปา และเอทิลีนเทเรฟทาเลต (ethylene terephthalate) สำหรับขวด PET แม้พลาสติกจะมีประโยชน์หลากหลาย แต่ก็สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ หรือใช้เวลานานในการย่อยสลาย

บรรจุภัณฑ์สลายตัว

วัสดุพลาสติกจากแหล่งธรรมชาติ: โอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน

เนื่องจากพลาสติกดั้งเดิมทำมาจากปิโตรเลียมซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาวัสดุทดแทนพลาสติกจากแหล่งธรรมชาติ จึงกลายเป็นแนวทางสำคัญในการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หนึ่งในวัสดุทางเลือกที่มีศักยภาพคือ พอลิแล็คติก แอสิด (Polylactic Acid – PLA) ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบเกษตร เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และอ้อย PLA เป็นพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ทางธรรมชาติและมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับพลาสติกทั่วไป ทำให้ PLA เป็นที่นิยมในการใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

พอลิแล็คติก แอสิด (PLA): พลาสติกจากข้าวโพดเพื่อสิ่งแวดล้อม

พอลิแล็คติก แอสิด หรือ PLA เป็นพลาสติกชีวภาพที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 โดยนักวิจัย W.H. Carothers จากบริษัท Dupont PLA ผลิตขึ้นจากแป้งและน้ำตาลในข้าวโพด ผ่านกระบวนการหมักและการสังเคราะห์เพื่อให้ได้พอลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติทนทาน และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ผลิต PLA ในเชิงพาณิชย์ เช่น Cargill Dow ในสหรัฐอเมริกา และ Mitsui Chemical ในญี่ปุ่น PLA ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและสามารถลดการพึ่งพาพลาสติกจากปิโตรเลียม

แม้ว่าพลาสติก PLA และพลาสติกชีวภาพอื่น ๆ จะยังคงมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้นทุนการผลิตและความคงทนเทียบเท่าพลาสติกดั้งเดิม แต่ก็เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว การพัฒนาและการใช้วัสดุเหล่านี้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ถือเป็นโอกาสที่น่าจับตามองในอนาคต

Credit: vcharkarn.com/varticle/277

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรและวิธีการทำแชมพูสระผมสมุนไพร

แชมพูสระผมสมุนไพร

หากคุณกำลังมีปัญหาเส้นผมบาง รากผมไม่แข็งแรง ผมหลุดร่วงง่าย เป็นรังแค คันศีรษะอยู่บ้างหรือเปล่า? แล้วคุณใช้แชมพูอะไรสระผม? คุณรู้ไหมว่าแชมพูสระผมที่คุณใช้อยู่นั้นเขาใช้อะไรเป็นส่วนผสมบ้าง แล้วที่เขาโฆษณาว่าเป็น”แชมพูสมุนไพร” หรือ “มีส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติ” นั้น เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน? แล้วมันเหมาะสมกับคุณหรือเปล่า? ถ้าคุณตอบคำถามนี้ไม่ได้หรือไม่แน่ใจ อยากให้คุณอ่านบทความนี้และลองหาโอกาสมาเรียนรู้วิธีการทำแชมพูสมุนไพร สูตรที่เหมาะสมกับตัวเราเองกันดีกว่า เผื่อคุณจะได้คำตอบที่ดีกว่าเดิม

ขวดสบู่แชมพูสีเขียว 200ml

ก่อนอื่นควรทราบถึงคุณสมบัติของสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการดูแลหรือบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ และเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพของเส้นผมและหนังศีรษะของตัวเราเอง ได้แก่

  • ผลมะกรูด น้ำจากผลมะกรูดจะมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยสลายไขมันและชะล้างสิ่งสกปรกที่เกาะบนเส้นผมและหนังศีรษะได้ดี (แต่ไม่ควรใช้น้ำมะกรูดชะโลมบนเส้นผมโดยตรงเป็นประจำ เพราะจะทำให้ผมจะเปราะ ขาดง่าย เพราะน้ำมะกรูดเป็นกรดค่อนข้างมาก มีค่า pH ประมาณ 3.5)
  • ผิวมะกรูด น้ำมันจากเปลือกผลมะกรูดมีกลิ่นหอม  และช่วยบำรุงให้เส้นผมเป็นเงางาม
  • ผลมะเฟือง น้ำจากผลมะเฟืองมีฤทธิ์เป็นกรด (ค่อนข้างมาก pH 2.5-3) ช่วยสลายไขมันและชะล้างสิ่งสกปรกที่เกาะบนเส้นผมและหนังศีรษะได้ดี  เมื่อนำมาผสมน้ำให้เจือจางลงใช้สระผมจะช่วยบรรเทาอาการคันศีรษะได้ดี (แต่ก็ไม่ควรใช้น้ำมะเฟืองชะโลมบนเส้นผมโดยตรงเป็นประจำเช่นกัน)
  • ผลมะคำดีควาย น้ำที่สกัดจากผลมะคำดีควาย จะมีคุณสมบัติช่วยลดรังแค รักษาอาการชันนะตุและหนังศีรษะที่เป็นเชื้อรา แต่การใช้ต้องระวังไม่ให้เข้าตา เพราะจะแสบมาก
  • ดอกอัญชัน  น้ำที่สกัดจากดอกอัญชัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เมื่อนำมาใช้หมักผม ก่อนสระ 15 นาที หรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำ จะช่วยทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย
  • ต้นตะไคร้ น้ำที่สกัดจากต้นตะไคร้เมื่อนำมาใช้หมักผมก่อนสระหรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการเส้นผมแตกปลาย ลดรังแคและบรรเทาอาการคันศีรษะ
  • ใบว่านหางจระเข้  เมื่อนำวุ้นใสๆ ที่ได้จากใบว่านหางจระเข้ มาใช้หมักผมก่อนสระหรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผมนุ่มสลวย หวีง่ายและช่วยรักษาแผลบนหนังศรีษะ
  • ต้นฟ้าทลายโจร น้ำที่สกัดจากต้นฟ้าทลายโจร (ใบ ต้น ฝัก) จะมีสารยับยังการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เมื่อนำมาใช้หมักผมก่อนสระหรือใช้ผสมกับแชมพูสระผม เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยลดอาการเส้นผมหลุดร่วงง่าย

นอกจากนี้แล้วในประเทศไทยยังมีสมุนไพรที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมอีกหลายชนิดที่รอให้คุณได้ศึกษา เรียนรู้และเลือกใช้ให้เหมาะสม  เอาล่ะเกริ่นนำมามากแล้ว มาลงมือทำแชมพูสมุนไพรสูตรตามใจคุณกันดีกว่า

ขวดโลชั่นทาผิว

ส่วนผสมแชมพูสระผม สมุนไพร
  • แชมพูออย (EMAL 28CT)     500  กรัม
  • ผงฟอง (ช่วยให้ฟองมาก)     50 กรัม
  • ผงข้น (ช่วยให้น้ำยาสระผมข้นขึ้น)     125– 150  กรัม
  • ลาโนลิน (ช่วยให้เส้นผมลื่น)     50  กรัม
  • น้ำใบหมี่สด (น้ำสมุนไพรตามต้องการ)     1.5 กก. (หรือลิตร)
  • น้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว     500  กรัม
  • เกลือ     500 กรัม
  • น้ำหอมกลิ่นตามชอบ      ปริมาณเล็กน้อย
วิธีทำแชมพูสระผม สมุนไพร
  1. แบ่งน้ำใบหมี่สดปริมาณเล็กน้อยใส่ภาชนะ ตั้งไฟพอน้ำร้อน  นำลาโนลินละลายในน้ำร้อน นำเกลือลงไปผสมและน้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงพักเอาไว้
  2. นำน้ำใบหมี่สดที่เหลือ ใส่ในภาชนะใบใหญ่ (ควรใช้ภาชนะพลาสติกหรือสแตนเลส)
  3. ค่อยๆ ใส่ผงฟองลงในน้ำทีละน้อย พร้อมกับคนให้ผงฟองละลายจนหมด ใส่แชมพูออย คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
  4. ค่อยๆ ใส่ผงข้นทีละน้อยคนให้ละลายเข้ากัน (ไม่ต้องถึง 150 กรัมก็ได้ ดูว่าน้ำยาข้นก็ใช้ได้ อย่าใช้เกิน น้ำยาจะเหลว) แล้วจึงใส่ลาโนลีนที่ละลายเตรียมไว้ในข้อ 1 คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
  5. ใส่กลิ่นตามที่ต้องการ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ฟองยุบตัวจึงกรอกใส่ในภาชนะ พร้อมใช้หรือจำหน่าย
วิธีทำน้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว

ใช้น้ำหมักผลไม้เปรี้ยวตามต้องการ เช่น มะกรูด มะนาว หรือมะเฟือง น้ำหนักรวม 3 กิโลกรัม ผสมคลุกกับน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม หมักทิ้งไว้ 3 เดือน แล้วจึงนำมากรองเอาเฉพาะน้ำจุลินทรีย์มาใช้

ข้อควรทราบ

1. สมุนไพรที่นำมาใส่ในแชมพูสระผม มีหลายชนิด ควรศึกษาถึงคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละชนิดและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง  ตัวอย่างเช่น

  • น้ำที่สกัดจากดอกอัญชัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้รากผมแข็งแรง เมื่อใช้ได้สักระยะหนึ่งจะสังเกตเห็นว่ามีผมร่วงน้อยลงและมีผมใหม่ขึ้นมากกว่าเดิม  เตรียมน้ำดอกอัญชันโดยนำหม้อใส่น้ำปริมาณไม่ต้องมากนัก ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำกลีบดอกอัญชันใส่ลงในน้ำเดือด (ควรเลือกใช้ชนิดดอกสีน้ำเงิน) ใช้ทัพพีคนคลุกเคล้าไปมาจนเห็นดอกอัญชันสีซีดลงและน้ำต้มดอกอัญชันเป็นสีน้ำเงินเข้ม จึงกรองเฉพาะน้ำมาใช้ เมื่อผสมแล้วจะได้แชมพูสีม่วงสดใส แต่สีม่วง ในผลิตภัณฑ์นี้จะค่อยๆ สลายตัวไปทีละน้อยเนื่องจากเป็นสารธรรมชาติ สลายตัวได้ง่าย แต่สามารถยืดอายุด้วยการเก็บในตู้เย็น
  • น้ำที่สกัดจากผลมะคำดีควาย มีคุณสมบัติลดรังแค รักษาอาการชันนะตุและเชื้อราบนหนังศีรษะ เตรียมโดยใช้ผลมะคำดีควายแห้ง (หาซื้อได้ตามร้ายขายสมุนไพรหรือยาไทยแผนโบราณ) แช่น้ำให้นุ่ม  ต้มให้เดือดและกรองเอาเฉพาะน้ำมาใช้
  • ว่านหางจระเข้ วุ้นใสๆ ที่ใบมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผมให้นุ่มชุ่มชื้น เตรียมได้โดยปอกเปลือกใบว่านหางจระเข้ออกให้หมด แล้วล้างยางสีเหลืองให้หมด (ถ้าล้างยางไม่หมด ยางจะกัดผิวหนัง) นำวุ้นมาใส่โถปั่นให้ละเอียด

2. น้ำหมักชีวภาพที่นำมาทำแชมพูสระผม มีหลายชนิด เช่น มะกรูด มะนาว มะเฟือง ส้มป่อย  เป็นต้น
3. หากต้องการให้แชมพูเก็บได้นาน ๆ ให้ใส่สารกันบูด 12 กรัม เพิ่มลงไปในส่วนผสมดังกล่าว

Credit: YesSpaThailand.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

นิปเปิ้ลให้น้ำสำหรับไก่กิน Nipple Drinker

การจัดการนิปเปิ้ลให้น้ำสำหรับไก่ในฟาร์ม

ในฟาร์มไก่ การจัดการน้ำดื่มถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของไก่ การใช้นิปเปิ้ลไก่ (Nipple Drinker) เป็นระบบให้น้ำที่ได้รับความนิยมเนื่องจากประสิทธิภาพสูงและความสะอาด แต่การบริหารจัดการระบบน้ำนั้นมีความซับซ้อนและต้องใส่ใจรายละเอียดหลายประการเพื่อให้ไก่ได้รับน้ำคุณภาพดีและเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต

ปัจจัยสำคัญในการจัดการน้ำในฟาร์มไก่

  1. การป้องกันการปนเปื้อน
    การจัดการระบบน้ำต้องระวังไม่ให้เกิดการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน ฝุ่น หรือน้ำฝน โดยการเลือกใช้ปั๊มน้ำ แท็งน้ำ และท่อส่งน้ำที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ เพื่อรักษาแรงดันน้ำในระบบให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
  2. การกรองน้ำ
    ควรใช้ระบบกรองน้ำที่มีขนาดกรองที่ 60 ไมครอนขึ้นไป เพื่อป้องกันตะกอนต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนมากับน้ำ การกรองน้ำช่วยลดปัญหาการอุดตันในระบบท่อและช่วยลดการเกิดไบโอฟิล์ม (Biofilm) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคในท่อระบบน้ำ
  3. มิเตอร์วัดปริมาณน้ำ
    การติดตั้งมิเตอร์วัดปริมาณน้ำที่ไก่บริโภคเป็นสิ่งสำคัญเพื่อการตรวจสอบว่าการบริโภคน้ำของไก่เป็นไปตามปกติหรือไม่ หากพบการเปลี่ยนแปลงผิดปกติอาจเป็นสัญญาณว่าไก่เกิดความเครียดหรือป่วย
  4. การให้ยาในน้ำ
    การให้ยาละลายในน้ำเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยม แต่การใช้ถังใหญ่ในการผสมยาอาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนและการสะสมเชื้อโรค ควรใช้ระบบปั๊มแรงดันสูง (Dosing Pump) แทนการใช้ถังใหญ่ เพราะช่วยกระจายยาอย่างสม่ำเสมอและลดความเสี่ยงในการตกตะกอน
  5. นิปเปิ้ลไก่ (Nipple Drinker)
    จำนวนหัวนิปเปิ้ลที่ใช้ควรเพียงพอต่อจำนวนไก่ในฟาร์ม ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบนิปเปิ้ลทำงานได้ดี ไม่รั่วซึม เพื่อให้ไก่ได้รับน้ำอย่างต่อเนื่อง

คุณภาพน้ำที่ไก่บริโภค

คุณภาพน้ำเป็นสิ่งที่ฟาร์มไก่ควรให้ความสำคัญ น้ำดื่มของไก่ควรมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับมาตรฐานน้ำดื่มของมนุษย์ แต่ก็ต้องมีการตรวจคุณภาพน้ำเพิ่มเติม เช่น ระดับความกระด้าง ปริมาณสารเคมี และเชื้อจุลินทรีย์ การตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำควรทำอย่างน้อยปีละสองครั้ง เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของน้ำดื่มและป้องกันปัญหาสุขภาพของไก่

การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ

  1. การใช้คลอรีนฆ่าเชื้อ
    ถ้าน้ำมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ ควรเพิ่มสารคลอรีนในน้ำเพื่อลดจำนวนเชื้อโรค
  2. การกรองน้ำ
    การกรองน้ำช่วยลดตะกอนและสิ่งสกปรก ทำให้น้ำสะอาดก่อนที่จะถูกนำไปใช้ในระบบนิปเปิ้ล
  3. การกำจัดสารเคมี
    หากน้ำมีสารเคมี เช่น ธาตุเหล็กหรือไนเตรทในปริมาณมาก ควรดำเนินการกำจัดหรือบำบัดน้ำเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพของไก่
  4. การบำบัดน้ำกระด้าง
    น้ำที่มีความกระด้างสูงสามารถทำให้ระบบท่อเกิดการสะสมของไบโอฟิล์ม จึงควรมีการบำบัดน้ำเพื่อลดความกระด้างก่อนเข้าสู่ระบบ

ประโยชน์ของการให้ยาโดยการละลายในน้ำ

การให้ยาผ่านน้ำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ไก่ป่วยหรือมีการบริโภคอาหารลดลง ข้อดีของการให้ยาผ่านน้ำคือสามารถปรับปริมาณยาได้ง่าย และให้ยาได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนเชื้อโรคจากโรงงานผสมอาหาร

ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาในน้ำ

  • ต้องมั่นใจว่าไก่ได้รับยาอย่างถูกต้องและครบถ้วน
  • ตรวจสอบปริมาณน้ำที่ไก่กินเพื่อให้แน่ใจว่ายาได้กระจายไปยังไก่ทุกตัว
  • คำนึงถึงคุณภาพของน้ำและปริมาณยาที่ละลายในน้ำ

การบำรุงรักษาระบบนิปเปิ้ล

ระบบนิปเปิ้ลต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการอุดตันและปัญหาการทำงานผิดปกติ การล้างทำความสะอาดท่อระบบน้ำและหัวนิปเปิ้ลเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคุณภาพของน้ำและลดปัญหาไบโอฟิล์ม

https://www.kvjunion.com/นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

M.L.A. Nipple Drinker Facebook https://www.facebook.com/KVJUnionPoultryEquipment

นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

ผลิตจากเนื้อพลาสติก POM มีความทนทานสูง ทนทานต่อกรด ด่าง รวมทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ติดตั้งง่าย ประกอบใช้งานเร็ว รับผลิต พร้อมระบุอัตราการไหลของน้ำตามต้องการ

  • ผลิตจากเนื้อพลาสติก POM มีความทนทานสูง
  • ระบบลูกปืน และสลักล่างเป็น Stainless แท้ ทั้งชิ้น
  • ทนทานต่อกรด ด่าง รวมทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ
  • ติดตั้งง่าย ประกอบใช้งานเร็ว
  • มียาง O-Ring ป้องกันน้ำรั่วโดยไม่ต้องพันผ้าเทป
  • รับผลิต พร้อมระบุอัตราการไหลของน้ำตามต้องการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก

Credit: Traininteractive (www.youtube.com/watch?v=wtbNRyzogpE)

การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก: วิธีการและเครื่องจักรที่ใช้

กระบวนการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกมีหลายวิธีที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของแต่ละประเภทสินค้า ด้านล่างนี้คือวิธีการขึ้นรูปพลาสติกที่สำคัญและเครื่องจักรที่ใช้:

การขึ้นรูปด้วยเครื่องฉีดพลาสติก (Injection Molding)

การฉีดพลาสติกเข้าแม่พิมพ์เป็นกระบวนการขึ้นรูปที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมพลาสติก โดยใช้พลาสติกที่หลอมเหลวฉีดเข้าสู่แม่พิมพ์ด้วยแรงดันสูง เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียดและซับซ้อน เช่น ของเล่น ขวดบรรจุภัณฑ์ หรือชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องฉีดพลาสติก:

  • ฮอปเปอร์ (Hopper): กรวยขนาดใหญ่สำหรับบรรจุเม็ดพลาสติกและสารเติมแต่งก่อนจะเข้าสู่เครื่องฉีด
  • กระบอกฉีดและสกรู (Injector and Screw): ทำหน้าที่หลอมเหลวพลาสติกและสร้างแรงดันเพื่อฉีดพลาสติกเข้าสู่แม่พิมพ์
  • หัวฉีด (Nozzle): นำพลาสติกหลอมเหลวจากกระบอกฉีดเข้าสู่ช่องว่างในแม่พิมพ์
  • แม่พิมพ์ (Mold): เป็นโครงสร้างที่มีรูปทรงตามผลิตภัณฑ์ ซึ่งมักออกแบบเป็นสองชิ้นเพื่อความสะดวกในการถอดผลิตภัณฑ์ออก
  • ตัวหนีบยึดแม่พิมพ์ (Hydraulic Clamp Unit): กลไกเปิด-ปิดแม่พิมพ์ พร้อมอุปกรณ์ให้ความร้อนและความเย็นเพื่อควบคุมอุณหภูมิแม่พิมพ์

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์สลายตัว (Biodegradable Packaging)

ไบโอพลาสติกและการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์

ในปัจจุบัน ปัญหาขยะพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เป็นหนึ่งในประเด็นหลักของการเกิดมลภาวะในสิ่งแวดล้อม การผลิตและใช้งาน ไบโอพลาสติก (Biodegradable Plastic) หรือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ทางธรรมชาติ จึงกลายมาเป็นแนวทางที่สำคัญในการแก้ไขปัญหานี้

ภาพที่เห็นเป็นตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ช้อนที่ผลิตจากวัสดุไบโอพลาสติกชนิดต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาในเทคโนโลยีพลาสติกเพื่อความยั่งยืน ประกอบด้วยชนิดพลาสติกที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่:

ไบโอพลาสติก Biodegradable Plastic

  1. Oxo-biodegradable plastic: Enhanced PP
    พลาสติกประเภทนี้ถูกพัฒนาให้ย่อยสลายได้เร็วขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) และออกซิเจน ด้วยการเพิ่มสารเติมแต่งลงในโพลีโพรพิลีน (PP) ทำให้สามารถแตกตัวและย่อยสลายได้ในเวลาที่เหมาะสม เมื่อสิ้นสุดการใช้งาน
  2. PP Copolymer + Bioplastic
    เป็นการผสมผสานระหว่างโพลีโพรพิลีนชนิดโคพอลิเมอร์กับไบโอพลาสติก ซึ่งให้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงในการใช้งาน โดยยังคงรักษาความสามารถในการย่อยสลายได้
  3. PP + Bioplastic
    วัสดุชนิดนี้เป็นการผสมระหว่างโพลีโพรพิลีนกับไบโอพลาสติก ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างคงทนในระยะยาว และเมื่อหมดอายุการใช้งานก็สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
  4. 100% Bioplastic
    ผลิตจากไบโอพลาสติกแท้ 100% ซึ่งมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แป้งข้าวโพด หรือวัสดุชีวภาพอื่น ๆ ที่สามารถย่อยสลายได้ง่ายเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  5. Recyclable PP Plastic
    พลาสติกโพลีโพรพิลีนที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งเป็นแนวทางในการลดปริมาณขยะพลาสติกด้วยการนำมาใช้ใหม่

ประโยชน์ของการใช้ไบโอพลาสติก การใช้ไบโอพลาสติกมีข้อดีหลายประการ ทั้งในด้านของการลดปัญหาขยะพลาสติก การย่อยสลายที่รวดเร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่เหมาะสม รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการผลิต เช่น การใช้วัสดุชีวภาพแทนการใช้ปิโตรเลียมในการผลิตพลาสติกแบบดั้งเดิม

ในภาพรวม การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไบโอพลาสติกช่วยส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ลดการใช้พลังงานในการผลิตและการขนส่ง นอกจากนี้ ไบโอพลาสติกยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

อนาคตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติก อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถทดแทนพลาสติกทั่วไปได้ในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารไปจนถึงผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้กระบวนการผลิตมีต้นทุนต่ำลง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้มากขึ้น

การใช้ไบโอพลาสติกเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการบริโภคที่ยั่งยืน ด้วยความสามารถในการย่อยสลายตามธรรมชาติและการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไบโอพลาสติกจึงเป็นทางออกที่สำคัญในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกในปัจจุบัน

การสลายตัวของบรรจุภัณฑ์: ความสำคัญและแนวทางพัฒนา

ในปัจจุบัน มลภาวะที่เป็นพิษไม่ได้จำกัดแค่ในอากาศและน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปริมาณขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว โดยเฉพาะขยะพลาสติก ทำให้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้บรรจุภัณฑ์สามารถสลายตัวได้ คำว่า “สลาย” หรือ “สลายตัว” มาจากคำว่า “degradation” ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์หมายถึง “การเสื่อม” หรือ “การแตกสลาย” การสลายของบรรจุภัณฑ์นั้น หมายถึงการเปลี่ยนสภาพจากเดิมให้ด้อยลง โดยบรรจุภัณฑ์ที่สลายตัวอาจไม่หายไปทั้งหมด แต่เกิดการแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตามกระบวนการต่าง ๆ เช่น การย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ หรือพลังงานจากแสง

การย่อยสลายของพลาสติก (Plastic Degradation)

พลาสติกสามารถสลายตัวได้ในหลายวิธี เช่น การใช้จุลินทรีย์ (biodegradable) หรือการใช้แสง (photodegradable) กระบวนการเหล่านี้จะทำให้โครงสร้างของโมเลกุลของพลาสติกสั้นลง เมื่อโมเลกุลสั้นลง พลาสติกจะสูญเสียความทนทานและแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งการย่อยสลายนี้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด อุณหภูมิ และความชื้นในดิน

ไบโอพลาสติก (Biodegradable Plastic)

การพัฒนาพลาสติกที่ย่อยสลายได้เป็นแนวทางหนึ่งในการลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ โดยพลาสติกย่อยสลายได้ด้วยกระบวนการทางชีวภาพ (biodegradation) สามารถถูกทำลายโดยจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย หรือราทางธรรมชาติ พลาสติกบางประเภทเช่น Polyhydroxyalkanoates (PHA) และ Polylactic acid (PLA) ถูกออกแบบให้สามารถย่อยสลายได้ในสภาวะที่เหมาะสม

การย่อยสลายด้วยแสง (Photodegradation)

การสลายของพลาสติกโดยแสงอัลตราไวโอเลตเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ในการทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพ เมื่อพลาสติกถูกแสงแดด พลังงานจากรังสีอัลตราไวโอเลตจะทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้โมเลกุลพลาสติกแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ วิธีการนี้มักใช้กับพลาสติกที่ใช้ในการทำถุงขยะหรือถุงบรรจุภัณฑ์ทางการเกษตร

ปัญหาและความท้าทายในการย่อยสลายของบรรจุภัณฑ์

  1. ความน่าเชื่อถือของการสลาย: ยังคงมีคำถามว่าวัสดุที่อ้างว่าย่อยสลายได้ จะสลายได้จริงหรือไม่ ในระยะเวลาและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เนื่องจากยังไม่มีมาตรฐานสากลที่แน่ชัด
  2. ค่าใช้จ่าย: พลาสติกที่ย่อยสลายได้มักจะมีราคาที่สูงกว่าพลาสติกทั่วไป ทำให้เป็นอุปสรรคในการผลิตเชิงพาณิชย์
  3. สารตกค้างหลังการสลาย: ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับสารตกค้างจากกระบวนการย่อยสลายว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมีเทนที่เกิดจากการสลายตัวของพลาสติก
  4. การสลายของบรรจุภัณฑ์ในสภาวะฝังกลบ: บรรจุภัณฑ์ที่ถูกฝังกลบอาจสลายได้ช้ากว่าที่คาดไว้ เพราะสภาวะแวดล้อมในพื้นที่ฝังกลบมักไม่เหมาะสมสำหรับการย่อยสลาย เช่น ขาดออกซิเจนและแสง

แนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน

ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรม เนื่องจากยังมีข้อจำกัดและความท้าทายทางเทคโนโลยี ดังนั้นแนวทางที่สำคัญในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ คือการรีไซเคิลและการหมุนเวียนใช้ประโยชน์ (recycling) เพื่อช่วยลดปริมาณขยะและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

การย่อยสลายของบรรจุภัณฑ์เป็นหัวข้อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน แต่การนำบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายมาใช้ยังคงมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งในเรื่องของการคงคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ ราคาที่สูงขึ้น และความเชื่อมั่นในกระบวนการย่อยสลาย อย่างไรก็ตามการสร้างจิตสำนึกให้กับประชาชนในการแยกขยะ และการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ จะเป็นอีกแนวทางที่สามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →
Page 1 of 2 12