Knowledge | Page 2
โรงงานพลาสติก ขวดพลาสติก บรรจุภัณฑ์ | K.V.J. Union Co., Ltd.

News & Updates

Archive for Knowledge

เกี่ยวกับขวดพลาสติก

ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับขวดพลาสติก

ขวดพลาสติก ขวด สร้างขึ้นมาจาก พลาสติก ขวดพลาสติกมักจะใช้ในการจัดเก็บของเหลวเช่น น้ำน้ำอัดลมน้ำมัน น้ำมันปรุงอาหาร ยา แชมพู นม และ หมึก ขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กมากขวดตัวอย่างขนาดใหญ่

ขวดพลาสติกถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 1947 แต่ยังคงค่อนข้างแพงจนถึงต้นปี 1960 เมื่อเอทิลีนความหนาแน่นสูงได้รับการแนะนำ พวกเขาได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นที่นิยมกับทั้งผู้ผลิตและลูกค้าเนื่องจากลักษณะที่มีน้ำหนักเบาของพวกเขาค่อนข้างต่ำและต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับ แก้ว ขวด . ยกเว้นไวน์และเบียร์ อุตสาหกรรมอาหาร ได้เปลี่ยนเกือบหมดแก้วกับขวดพลาสติก

ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

การผลิตขวดพลาสติก

ขวดพลาสติกที่เกิดขึ้นโดยใช้ความหลากหลายของเทคนิค ทางเลือกของวัสดุที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้

  • เอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) เป็นเม็ดพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับขวดพลาสติก วัสดุนี้จะประหยัดทนต่อผลกระทบและอุปสรรคให้ความชุ่มชื้นดีHDPE เข้ากันได้กับหลากหลายของผลิตภัณฑ์รวมถึงกรดและ caustics แต่ไม่ได้เข้ากันได้กับ ตัวทำละลาย . มันจะได้รับการอนุมัติในองค์การอาหารและยาเกรดอาหาร HDPE โปร่งแสงเป็นธรรมชาติและมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้สีจะทำให้กำลังการผลิต HDPE ทึบแสงแม้ว่าจะไม่มันวาว HDPE ยืมตัวเองได้อย่างง่ายดายเพื่อการตกแต่งหน้าจอไหม ในขณะที่ HDPE ให้การป้องกันที่ดีที่อุณหภูมิแช่แข็งด้านล่างมันไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปกว่า 160 ° F (71 ° C) หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้สุญญากาศ (สูญญากาศ) ประทับตรา
  • เอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE) จะคล้ายกับการผลิต HDPE ในองค์ประกอบ มันเป็นน้อยเข้มงวดและโดยทั่วไปน้อยกว่าที่ทนทานทางเคมี HDPE แต่โปร่งแสงมากขึ้น LDPE ใช้งานเป็นหลักสำหรับการใช้งานบีบ LDPE อย่างมีนัยสำคัญมีราคาแพงกว่า HDPE
  • Polyethylene Terephthalate (PET PETE หรือ โพลีเอสเตอร์ ) มักจะถูกใช้สำหรับเครื่องดื่มอัดลมขวดน้ำและผลิตภัณฑ์อาหารจำนวนมาก PET ให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีมากและคุณสมบัติอุปสรรคน้ำมันหอมระเหยทนต่อสารเคมีที่ดีโดยทั่วไป (แม้ว่า acetones และคีโตนจะโจมตี PET) และระดับสูงของความทนต่อแรงกระแทกและแรงดึง กระบวนการ orienting ทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณสมบัติของก๊าซและอุปสรรคความชื้นและทนแรงกระแทก วัสดุนี้ไม่ได้ให้ความต้านทานต่ออุณหภูมิที่สูงมากการใช้งานสูงสุด อุณหภูมิ. 200 ° F (93 ° C)
  • วัสดุ Polyvinyl Chloride (PVC) เป็นที่ชัดเจนตามธรรมชาติมีความต้านทานที่ดีมากที่จะน้ำมันและมีการส่งผ่านออกซิเจนต่ำมาก มันมีอุปสรรคที่ดีในการปล่อยก๊าซมากที่สุดและต้านทานผลกระทบต่อการลดลงยังดีมาก สารนี้เป็นสารทนสารเคมี แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่จะตัวทำละลาย พีวีซีเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับน้ำมันสลัดน้ำมันแร่และน้ำส้มสายชู นอกจากนี้ยังเป็นที่ใช้กันทั่วไปสำหรับแชมพูและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พีวีซีจัดแสดงนิทรรศการความต้านทานต่ำที่มีอุณหภูมิสูงและจะบิดเบือนที่ 160 ° F (71 ° C) ทำให้มันเข้ากันไม่ได้กับผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยความร้อน มันได้บรรลุความประพฤติไม่ดีในปีที่ผ่านมาเนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
  • โพรพิลีน (PP) ถูกนำมาใช้เป็นหลักสำหรับขวดและฝาปิดและมีแพคเกจที่เข้มงวดกับอุปสรรคความชื้นที่ดีเยี่ยม ข้อดีอย่างหนึ่งที่สำคัญของโพรพิลีนเป็นเสถียรภาพที่อุณหภูมิสูงได้ถึง 220 ° F (104 ° C) โพรพิลีนเป็นหม้อนึ่งฆ่าเชื้อและมีศักยภาพในการฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำ ความเข้ากันได้ของ PP มีอุณหภูมิสูงบรรจุเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการใช้งานด้วยผลิตภัณฑ์ที่เติมร้อน PP มีความต้านทานต่อสารเคมีที่ดี แต่ให้ทนต่อแรงกระแทกไม่ดีในอุณหภูมิที่เย็น
  • สไตรีน (PS) ที่มีความคมชัดที่ยอดเยี่ยมและความมั่นคงในราคาที่ประหยัด เป็นที่นิยมใช้กับผลิตภัณฑ์แห้งรวมวิตามินเยลลี่ปิโตรเลียมและเครื่องเทศ สไตรีนไม่ได้ให้ความสามารถในการป้องกันที่ดีและการจัดแสดงนิทรรศการความต้านทานผลกระทบต่อคนยากจน
  • พลาสติกชีวภาพ – โครงสร้างโพลิเมอร์ขึ้นอยู่กับวัสดุชีวภาพการประมวลผลมากกว่า ปิโตรเคมี .

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

วัสดุขวดพลาสติก (Plastic Bottle Resin Material)

ขวดพลาสติก (Plastic Bottles) ผลิตจากวัสดุหลากหลายชนิด (เรซิน) โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ขวดพลาสติกที่ผลิตจาก HDPE เป็นวัสดุที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากมีราคาถูกและคุ้มค่า ส่วนขวดพลาสติกที่ผลิตจาก PET มีความใสเหมือนแก้ว ในขณะที่กระปุกพลาสติกที่ทำจาก PP มีความยืดหยุ่นและราคาประหยัด ส่วนกระปุกพลาสติกจาก PS มีความใสและแข็งแรง

ส่วนนี้จะอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับวัสดุเรซินที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติก คุณสมบัติ การใช้งาน และข้อจำกัดของแต่ละวัสดุ

ขวดใส่แอลกอฮอล์

ระบบรหัสวัสดุขวดพลาสติก (The Plastic Bottle Material Code System)
การรีไซเคิลได้รับการสนับสนุนมากขึ้นด้วยการใช้ระบบรหัสวัสดุขวดพลาสติก ซึ่งถูกออกแบบมาให้อ่านได้ง่ายและสามารถแยกแยะได้จากสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่อยู่บนก้นขวด โดยสัญลักษณ์นี้ต้องปรากฏบนขวดที่มีความจุ 8 ออนซ์ขึ้นไป

Plastic-Code

ประเภทของระบบรหัสพลาสติก
สัญลักษณ์ประกอบด้วยรูปสามเหลี่ยมที่เกิดจากลูกศรสามตัวไล่กันเป็นวงกลม โดยมีตัวเลขเฉพาะตรงกลางเพื่อระบุชนิดของวัสดุที่ใช้ในการผลิตขวด ตัวเลขนี้จะมีตัวอักษรที่บ่งบอกชนิดของเรซินประกอบเพื่อยืนยันประเภทของวัสดุที่แยกออกมา

  • ขวดพลาสติก – High Density Polyethylene (HDPE) HDPE เป็นวัสดุเรซินที่นิยมใช้สำหรับขวดพลาสติก มีราคาประหยัด ทนทานต่อแรงกระแทก และกันความชื้นได้ดี สามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น กรดและสารกัดกร่อน แต่ไม่เหมาะกับสารละลาย ขวดที่ทำจาก HDPE จะโปร่งแสงและยืดหยุ่น เมื่อเติมสีจะทำให้ทึบแสง แต่ไม่เงางาม เหมาะสำหรับการตกแต่งด้วยการพิมพ์สกรีน ข้อจำกัดคือ ไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ต้องเติมที่อุณหภูมิสูงกว่า 190°F หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซีลสูญญากาศได้ และไม่เหมาะสำหรับน้ำมันหอมระเหย
  • ขวดพลาสติก – Low Density Polyethylene (LDPE) LDPE มีความยืดหยุ่นมากกว่า HDPE แต่ทนสารเคมีได้น้อยกว่าและมีราคาสูงกว่า มักใช้กับขวดที่ต้องการบีบ
  • ขวดพลาสติก – Polyethylene Terephthalate (PET) PET ใช้สำหรับขวดเครื่องดื่มอัดลม มีคุณสมบัติในการกันน้ำมันหอมระเหยและแอลกอฮอล์ได้ดี ทนทานต่อแรงกระแทก แต่ไม่ทนต่อสารเคมีบางชนิด เช่น อะซิโตน และไม่เหมาะกับการใช้งานที่อุณหภูมิสูงกว่า 160°F
  • ขวดพลาสติก – Polyvinyl Chloride (PVC) ขวดพลาสติกจาก PVC มีความใส ทนน้ำมันได้ดีและกันการส่งผ่านของออกซิเจนต่ำ เหมาะกับน้ำมันสลัด น้ำมันแร่ และน้ำส้มสายชู แต่วัสดุนี้ไม่ทนความร้อนและจะบิดเบี้ยวที่อุณหภูมิ 160°F
  • กระปุกพลาสติก – Polypropylene (PP) PP มีโครงสร้างแข็งแรง กันความชื้นได้ดี และทนความร้อนได้สูงถึง 200°F สามารถฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำได้ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องเติมที่อุณหภูมิสูง
  • กระปุกพลาสติก – Polystyrene (PS) PS มีความใสและแข็งแรงในราคาประหยัด เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์แห้ง เช่น วิตามิน วาสลีน และเครื่องเทศ แต่ไม่กันการซึมผ่านและไม่ทนต่อแรงกระแทก

Plastic polymer comparison

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Blow molding (เป่าขึ้นรูปขวดพลาสติก)

การเป่าขึ้นรูปเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้สร้างชิ้นส่วนพลาสติกกลวง โดยแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้: การเป่าขึ้นรูปด้วยการรีดพลาสติก (extrusion blow molding), การเป่าขึ้นรูปด้วยการฉีดพลาสติก (injection blow molding), และการเป่าขึ้นรูปด้วยการฉีดและยืดพลาสติก (injection stretch blow molding) กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการหลอมพลาสติกแล้วขึ้นรูปเป็นท่อหรือพรีฟอร์ม จากนั้นจึงนำเข้ามาในแม่พิมพ์และเป่าลมเพื่อให้พลาสติกพองตัวจนได้รูปทรงตามแม่พิมพ์

ขวดสเปรย์-ขวดปั๊ม-80ml

ประวัติของการเป่าขึ้นรูป

เริ่มต้นขึ้นในปี 1938 โดย Enoch Ferngren และ William Kopitke ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการเป่าแก้ว หลังจากนั้นในช่วงปี 1940 กระบวนการนี้ได้รับการพัฒนาและเริ่มผลิตสินค้าในปริมาณมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของสหรัฐอเมริกา

  • การเป่าขึ้นรูปด้วยการรีดพลาสติก (EBM) เป็นกระบวนการรีดพลาสติกให้เป็นท่อ (parison) จากนั้นจึงนำไปเป่าลมในแม่พิมพ์เพื่อให้พองตัวจนได้รูปทรง เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดนม ขวดแชมพู ข้อดีของกระบวนการนี้คือมีต้นทุนต่ำและผลิตได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือเหมาะกับการผลิตชิ้นส่วนกลวงเท่านั้นและความแข็งแรงไม่สูง
  • การเป่าขึ้นรูปด้วยการฉีดพลาสติก (IBM) เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก เช่น ขวดทางการแพทย์และขวดใช้ครั้งเดียว กระบวนการนี้มีการฉีดพลาสติกเข้าแม่พิมพ์เพื่อสร้างพรีฟอร์ม จากนั้นจึงเป่าลมเพื่อให้ขึ้นรูป ข้อดีคือการขึ้นรูปที่แม่นยำ แต่ข้อเสียคือเหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีความจุขนาดเล็ก
  • การเป่าขึ้นรูปด้วยการฉีดและยืดพลาสติก (ISB) เป็นกระบวนการที่พรีฟอร์มถูกยืดและเป่าลมให้กลายเป็นขวด นิยมใช้ในการผลิตขวดน้ำอัดลมเพราะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของวัสดุ ข้อดีคือช่วยเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันการซึมผ่านของก๊าซได้ดี แต่มีต้นทุนสูงและข้อจำกัดในการออกแบบขวดบางรูปแบบ
  • การหมุนตัด (spin trimming) เป็นกระบวนการตัดส่วนเกินจากภาชนะพลาสติกที่ถูกเป่าขึ้นรูป ซึ่งสามารถนำวัสดุที่ถูกตัดออกกลับมาใช้ใหม่ในการผลิต

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Plastic Packaging

บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บรรจุภัณฑ์มีบทบาทสำคัญต่อหลายฝ่าย ทั้งนักการตลาด ผู้บริโภค และหน่วยงานกำกับดูแล ความยืดหยุ่นของบรรจุภัณฑ์พลาสติกช่วยให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ตั้งแต่การออกแบบจนถึงการกำจัดทิ้ง โดยวัสดุพลาสติกแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น สี น้ำหนัก ขนาด และรูปทรง

ขวดเครื่องสำอาง 100ml

เรซินพลาสติก (พอลิเมอร์) สำหรับบรรจุภัณฑ์
ผู้บริโภคหลายคนคงคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ตัวเลขและลูกศรที่ปรากฏบนบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งเป็นรหัสบ่งบอกประเภทของพอลิเมอร์ (หรือเรซินพลาสติก) ที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ รหัสนี้เริ่มต้นจากระบบรีไซเคิล แต่ยังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ให้ผู้บริโภคสามารถจำแนกชนิดของพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ 1) โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET), 2) โพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE), 3) โพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC), 4) โพลีเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE), 5) โพลีโพรพิลีน (PP), 6) โพลีสไตรีน (PS) และ 7) พลาสติกชนิดอื่น ๆ (Other)

คุณสมบัติของเรซินแต่ละชนิดทำให้เหมาะสมกับการใช้งานบรรจุภัณฑ์หรือการใช้งานอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน

ประโยชน์ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก
บรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องสามารถปกป้องผลิตภัณฑ์และส่งมอบถึงมือผู้บริโภคได้อย่างปลอดภัย ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เช่น บรรจุภัณฑ์ยาและอาหาร ซึ่งมีการควบคุมอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ยังต้องป้องกันความเสียหาย การรั่วซึม และตอบสนองต่อความต้องการด้านความสวยงาม การตลาด ต้นทุน ความสะดวกในการใช้งาน ความง่ายในการเปิดและปิดใหม่ น้ำหนัก การประหยัดเชื้อเพลิง และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เหมาะสมสามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องอุปกรณ์การแพทย์ที่เปราะบางหรืออาหารสด

บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีน้ำหนักเบา แข็งแรง และสามารถขึ้นรูปได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการฉีด การเป่า หรือการหลอม พลาสติกสามารถช่วยลดการใช้ทรัพยากรและสร้างขยะน้อยกว่าวัสดุอื่น ๆ ช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซ CO2 ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรในภาพรวม

ความปลอดภัยของอาหารในบรรจุภัณฑ์พลาสติก
บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของอาหาร ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหาร และยังเป็นวัสดุยอดนิยมในการเก็บอาหารแช่แข็ง นวัตกรรมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เช่น การบรรจุในบรรยากาศดัดแปลง (modified atmosphere packaging) ช่วยรักษาความสดของอาหารโดยลดปริมาณออกซิเจนในบรรจุภัณฑ์ ทำให้แบคทีเรียเติบโตช้าลงและยืดอายุการเก็บรักษา

ในสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยา (FDA) มีหน้าที่ควบคุมความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสกับอาหาร รวมถึงพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหาร พลาสติกบางชนิด เช่น โพลีสไตรีนและโพลีเอทิลีน ถูกใช้อย่างแพร่หลายในบรรจุภัณฑ์อาหารมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว วัสดุทุกชนิดที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหารต้องผ่านการตรวจสอบและอนุมัติจากองค์การอาหารและยา เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยต่อการใช้งาน

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ฟิล์มยืด ฟิล์มหด

ฟิล์มยืด

ฟิล์มยืด (Stretch Film) ได้รับความนิยมมากขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใช้ห่อถาดอาหารสดและอาหารกึ่งสำเร็จรูป นอกจากนี้ยังใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อห่อสินค้าบนแท่นรองรับสำหรับขนส่ง ช่วยป้องกันสิ่งปนเปื้อน ยืดอายุการเก็บรักษา และทำให้สามารถมองเห็นสินค้าได้ง่าย อีกทั้งยังใช้รวมสินค้าเป็นหน่วยเดียวเพื่อความสะดวกในการจัดส่งและจัดเก็บ

ฟิล์มยืดคืออะไร
ฟิล์มยืดเป็นฟิล์มพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูงและเหนียว สามารถเกาะติดกันเองได้เมื่อดึงยืดเล็กน้อย ทำให้เหมาะสำหรับการห่อสินค้าโดยไม่ต้องใช้ความร้อน พลาสติกที่นิยมใช้ในการผลิตฟิล์มยืด ได้แก่ PVC, PE และ PP ในการผลิตฟิล์มยืดจะมีการใส่สารเติมแต่ง เช่น สารเกาะติดเพื่อช่วยให้ฟิล์มยึดเกาะกันดี สารป้องกันออกซิเดชันเพื่อป้องกันการสลายตัวของพลาสติก และสารป้องกันรังสี UV เพื่อยืดอายุการใช้งานกลางแจ้ง

การใช้งานฟิล์มยืด
ฟิล์มยืดสามารถใช้ได้ทั้งการห่อด้วยมือและเครื่องจักร ขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้า คุณสมบัติสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ฟิล์มยืด ได้แก่ ความสามารถในการยืดตัว แรงดึง ความยืดหยุ่น และความทนทาน ฟิล์ม PVC และ PP มักใช้ในบรรจุภัณฑ์อาหาร ส่วนฟิล์ม PE นิยมใช้ในการห่อสินค้ารวมเพื่อขนส่ง โดยเฉพาะฟิล์ม LLDPE ที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเพราะมีความแข็งแรงและยืดตัวสูง

การเลือกใช้ฟิล์มยืด
การเลือกฟิล์มยืดให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ฝุ่นละออง และอุปกรณ์ที่ใช้ในการห่อ นอกจากนี้ต้องพิจารณารูปทรง น้ำหนัก และความเปราะบางของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้ฟิล์มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งาน

ฟิล์มหด
ฟิล์มหด (Shrink Film) เป็นฟิล์มที่หดตัวเมื่อโดนลมร้อน นิยมใช้ในบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรม ฟิล์มหดมักทำจาก PVC และ LDPE โดยมีการใช้งานง่าย เพียงใส่ฟิล์มครอบสินค้าหลวมๆ และใช้ลมร้อนเป่าจนฟิล์มหดตัวรัดสินค้าพอดี

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ลดต้นทุนการผลิตบรรจุภัณฑ์

แนวคิดนักออกแบบงานบรรจุภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต

กระปุกสีดำ

บรรจุภัณฑ์เป็นต้นทุนที่สำคัญรองจากวัตถุดิบในการผลิตสินค้า หากสามารถลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ได้ จะช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง แนวคิดในการลดต้นทุนของวัสดุบรรจุภัณฑ์มีหลายแนวทาง ได้แก่:

  1. ลดคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุบรรจุภัณฑ์
    เช่น ลดความหนาหรือน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์ โดยต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการประหยัด
  2. เลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ถูกกว่า
    การเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ราคาถูกกว่า เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแทนแก้ว
  3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัสดุ
    การใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ให้คุ้มค่ามากขึ้น เช่น ปรับขนาดกล่องเพื่อให้ใช้วัสดุน้อยลง
  4. เปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์
    ดัดแปลงบรรจุภัณฑ์จากเดิมให้มีรูปแบบใหม่ที่ช่วยลดต้นทุน
  5. ลดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็น
    ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนจากฝาปิดแบบชิ้นเดียวที่มีต้นทุนสูง มาใช้ฝาพลาสติกแยกชิ้น
  6. เปลี่ยนรูปทรงบรรจุภัณฑ์
    การใช้บรรจุภัณฑ์ทรงเหลี่ยมแทนทรงกลม ช่วยให้บรรจุและขนส่งได้ง่ายขึ้นและประหยัดพื้นที่
  7. เพิ่มปริมาณสินค้าต่อกล่อง
    เพิ่มจำนวนสินค้าที่บรรจุในกล่อง เช่น จากเดิมบรรจุ 12 ชิ้น เพิ่มเป็น 18 หรือ 24 ชิ้น เพื่อลดค่าขนส่ง
  8. ลดจำนวนขนาดสินค้า
    การมีขนาดสินค้าหลากหลายทำให้สิ้นเปลืองในการบรรจุ การลดขนาดสินค้าให้เหลือเพียงไม่กี่ขนาดจะช่วยลดต้นทุน
  9. ลดขนาดพื้นที่บรรจุภัณฑ์
    บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดกะทัดรัดใช้กระดาษน้อยกว่า มีต้นทุนถูกกว่า และสะดวกต่อการบรรจุ
  10. ลดจำนวนสีที่ใช้ในการพิมพ์
    การออกแบบกราฟิกอย่างง่ายที่ใช้สีเพียง 1-2 สี สามารถลดต้นทุนการพิมพ์ได้มาก โดยที่ยังคงสร้างความดึงดูดต่อผู้บริโภค

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนควรคำนึงถึงการตลาดด้วย ปัจจุบันการออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงแต่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำหน้ากว่า เพื่อให้สินค้าโดดเด่นในตลาด

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ตราสินค้า

ตราสินค้า (Brandname)

ตราสินค้า (Brand) หมายถึงชื่อ ข้อความ สัญลักษณ์ หรือรูปแบบต่างๆ ที่ใช้เพื่อระบุสินค้า หรือบริการของผู้ขาย โดยแสดงความแตกต่างจากคู่แข่งขัน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของตราสินค้าได้แก่:

  • ชื่อตรา (Brandname): ชื่อที่ออกเสียงได้ เช่น วัน ทู คอล หรือ เค เอฟ ซี
  • เครื่องหมายตราสินค้า (Brandmark): สัญลักษณ์ รูปแบบ หรือสีที่จดจำได้ เช่น โลโก้ของแบรนด์
  • เครื่องหมายการค้า (Trademark): เครื่องหมายที่จดทะเบียนแล้วเพื่อป้องกันสิทธิ์ตามกฎหมาย
  • ลิขสิทธิ์ (Copyright): สิทธิตามกฎหมายในสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
  • โลโก้ (Logo): สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงถึงองค์กรหรือธุรกิจ

กระปุกบรรจุผง 1กิโลกรัม พร้อมช้อนตักผง 10g

หลักเกณฑ์การเลือกชื่อตราสินค้า

  • ตราสินค้าควรสั้น กระชับ จดจำง่าย ออกเสียงได้สะดวก
  • สามารถแปลเป็นภาษาต่างประเทศได้ง่ายและมีความหมายเหมาะสม
  • ควรสอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมาย
  • ต้องสามารถจดทะเบียนการค้าได้โดยไม่ซ้ำกับที่มีอยู่แล้ว

ขวดปั๊มดีไซน์กำหนดเอง Custom Design

ความสำคัญของตราสินค้า
ในสภาวะการแข่งขันสูง ตราสินค้ามีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ป้องกันการถูกเลียนแบบ และช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจดจำและตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยตราสินค้ายังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

การสร้างตราสินค้าที่มีพลัง
การสร้างตราสินค้าต้องมีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในสินค้าที่มีคู่แข่งขันหลากหลายบนชั้นวางสินค้า เมื่อสร้างตราสินค้าแล้ว การออกแบบฉลากและบรรจุภัณฑ์ก็มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการตลาด

ป้ายฉลาก (Labeling)

  • ป้ายฉลากบอกชนิดของผลิตภัณฑ์และตรายี่ห้อ
  • ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
  • ช่วยในการส่งเสริมการตลาด

ข้อพิจารณาในการออกแบบบรรจุภัณฑ์
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ต้องคำนึงถึงลักษณะผลิตภัณฑ์ การตลาด การผลิต การจัดจำหน่าย การขนส่ง การเก็บรักษา และความสะดวกในการใช้งาน นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาต้นทุน กฎหมาย และผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม

  • ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เช่น ความชื้น ไขมัน หรือความเปราะบาง
  • ต้องรู้จักชนิดและคุณสมบัติของวัสดุบรรจุภัณฑ์
  • ต้องรู้จักระบบการขนส่งเพื่อป้องกันความเสียหาย
  • ต้องพิจารณากฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
  • ต้องสามารถทดสอบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมก่อนการผลิต

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความรู้ในหลากหลายด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าบรรจุภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องสินค้า ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ออกแบบบรรจุภัณฑ์

การออกแบบบรรจุภัณฑ์

การออกแบบบรรจุภัณฑ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. การออกแบบโครงสร้าง: การกำหนดรูปลักษณะ วัสดุที่ใช้ กรรมวิธีการผลิต การบรรจุ และการขนส่งสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่จุดผลิตจนถึงมือผู้บริโภค
  2. การออกแบบกราฟิก: การสร้างลักษณะภายนอกของบรรจุภัณฑ์เพื่อสื่อสารและสร้างผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภค โดยเน้นให้เกิดความกลมกลืนและสวยงามตามวัตถุประสงค์

ขวดครีม 300ml ฝาป๊อกแป๊ก

กระบวนการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์
กระบวนการออกแบบต้องผ่านการวางแผนและการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยการกำหนดนโยบายและเป้าหมาย การศึกษาและวิจัยเบื้องต้น พัฒนาต้นแบบ ทดลอง และปรับปรุงก่อนเข้าสู่การผลิตจริง

การออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์
บรรจุภัณฑ์เป็นตัวแทนในการส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ควรออกแบบให้เป็นสื่อโฆษณาในตัวเองโดยสามารถดึงดูดผู้บริโภคได้ ด้วยการใช้สี รูปภาพ สัญลักษณ์ และข้อความที่สอดคล้องกัน หลักการออกแบบกราฟิกง่ายๆ คือ “SAFE”:

  • S = Simple: เข้าใจง่าย สบายตา
  • A = Aesthetic: สวยงาม ชวนมอง
  • F = Function: ใช้งานได้สะดวก
  • E = Economic: ต้นทุนคุ้มค่า

หน้าที่ของกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์

  • สร้างทัศนคติที่ดีต่อผลิตภัณฑ์
  • ชี้แจงชนิดและประเภทของผลิตภัณฑ์
  • แสดงเอกลักษณ์และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
  • ส่งเสริมการตลาดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ขวดฝาฟลิบแบบตอก

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งเสริมการตลาด
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ช่วยส่งเสริมการขายได้หลากหลายวิธี เช่น การออกแบบที่จดจำง่าย เจาะตลาดใหม่ การใช้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการส่งเสริมการขาย การออกแบบต้องคำนึงถึงตราสินค้าและความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย

การเปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงของบรรจุภัณฑ์
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือขนาดของบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องทำเมื่อสินค้าผ่านช่วงหนึ่งของวัฏจักรชีวิต เช่น มีนวัตกรรมใหม่หรือการเปลี่ยนวัสดุ เพื่อตอบโจทย์ตลาดและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการตลาด สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและจัดเก็บ การออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างและกราฟิก เพื่อสร้างความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

วางแผนออกแบบบรรจุภัณฑ์

ขั้นตอนการวางแผนออกแบบบรรจุภัณฑ์

การวางแผนออกแบบบรรจุภัณฑ์เริ่มต้นจากการกำหนดจุดประสงค์และข้อจำกัด เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ที่สร้างขึ้นตรงตามความต้องการของผลิตภัณฑ์และตลาด โดยขั้นตอนการวางแผนประกอบด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้:

ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ขั้นตอนที่ 1: การวางแผน

1.1 กำหนดกรอบเวลา (Timeline) – วางแผนระยะเวลาในการพัฒนาแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน
1.2 ระบุผลลัพธ์ที่คาดหวัง – กำหนดเป้าหมายที่ต้องการในแต่ละขั้นตอน เช่น การส่งมอบต้นแบบหรือการทดสอบ
1.3 รายละเอียดเกี่ยวกับตราสินค้า (Branding) – ระบุข้อมูลสำคัญของตราสินค้าที่จะใช้
1.4 กำหนดผู้รับผิดชอบ – ระบุทีมงานหรือผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนเพื่อความชัดเจนในการดำเนินงาน

ขั้นตอนที่ 2: การรวบรวมข้อมูล

2.1 การตลาด (Marketing Data) – รวบรวมข้อมูลตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และคู่แข่ง
2.2 ข้อมูลจากจุดขาย (Point-of-Sale Data) – ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่จุดขาย
2.3 วิเคราะห์ SWOT (Strength, Weakness, Opportunity, Threat) – ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์
2.4 พฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) – สำรวจและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
2.5 เทคโนโลยีใหม่ – ศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ในด้านวัสดุ ระบบบรรจุภัณฑ์ และเครื่องจักร

ขั้นตอนที่ 3: การออกแบบร่าง

3.1 พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ (Idea Development) – ระดมความคิดและสร้างแนวทางการออกแบบที่เกี่ยวข้อง
3.2 ร่างต้นแบบ (Conceptual Design) – สร้างร่างต้นแบบ 3-5 แบบเพื่อใช้ในการตัดสินใจ
3.3 การทำต้นแบบ (Prototype Development) – คัดเลือกต้นแบบที่เหมาะสม 2-3 แบบเพื่อนำมาทดสอบ

ขั้นตอนที่ 4: การประชุมวิเคราะห์และปรับปรุงต้นแบบ

4.1 วิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเทคนิค – ตรวจสอบว่าต้นแบบสามารถผลิตได้จริงและตรงตามข้อกำหนด
4.2 วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค – ประเมินว่าต้นแบบตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่
4.3 เลือกต้นแบบที่ดีที่สุด – คัดเลือกต้นแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาเพิ่มเติม

ขั้นตอนที่ 5: การทำแบบจริง (Final Design)

5.1 เลือกวัสดุ (Material Selection) – ตัดสินใจเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการผลิต
5.2 ออกแบบกราฟิก (Graphic Design) – สร้างแบบกราฟิกพร้อมโลโก้และสัญลักษณ์การค้า
5.3 สร้างแบบจริง (Final Mockup) – ทำแบบจริงเพื่อนำไปทดสอบและปรับปรุงก่อนผลิต

ขั้นตอนที่ 6: การบริหารการออกแบบ (Design Management)

เริ่มจากการติดต่อผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามแบบที่ออกแบบไว้ จัดทำเอกสารและรายละเอียดการสั่งซื้อ (Specification) เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด สุดท้ายติดตามและประเมินผลว่าบรรจุภัณฑ์สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อย่างเต็มที่

ขั้นตอนการวางแผนและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นระบบและละเอียดถี่ถ้วน ไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้า แต่ยังช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ในตลาด และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกทนเคมี

พลาสติกทนเคมี: พอลิเอทิลีน (Polyethylene: PE)

พอลิเอทิลีน (PE) เป็นพลาสติกที่มีคุณสมบัติทนต่อสารเคมีและเหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายประเภท มีลักษณะโปร่งแสงสีขาวขุ่น มีความลื่นในตัว ทำให้เมื่อสัมผัสรู้สึกลื่น ไม่มีกลิ่นหรือรส และไม่ติดแม่พิมพ์ เป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี มีความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำจึงลอยน้ำได้ เมื่อเพิ่มความหนาแน่นจะเพิ่มความแข็งและความเหนียว ความสามารถในการทนความร้อนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ขวดเคมีเกษตรถ้วยตวง

คุณสมบัติของพลาสติกทนเคมี (PE):

  • ยืดหยุ่นได้ดี ทนความเหนียวได้ดีแม้ในอุณหภูมิต่ำ
  • ทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมีได้ดีเยี่ยม
  • ทนทานต่อสภาวะอากาศได้ดี มีอากาศซึมผ่านได้
  • หดตัวจากแม่พิมพ์ได้ดี ทำให้ถอดออกง่าย
  • เป็นฉนวนไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ
  • ผสมสีได้ง่าย สามารถทำเป็นฟิล์มใส ฟิล์มสี โปร่งแสงหรือทึบแสง
  • ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส

ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกทนเคมี (PE):

  • ขวดใส่สารเคมี ขวดน้ำ ลังหรือกล่องบรรจุสินค้า
  • ภาชนะต่าง ๆ เครื่องเล่นของเด็ก ถุงเย็น ถาดทำน้ำแข็ง
  • ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฉนวนไฟฟ้า
  • แผ่นฟิล์มสำหรับห่อของ โต๊ะ และเก้าอี้

การใช้พอลิเอทิลีนในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความทนทานต่อสารเคมีนั้นถือเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากความสามารถในการทนสารเคมีต่าง ๆ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลายและทนทานต่อสภาพแวดล้อม

เราให้คำปรึกษาเกี่ยวกับพลาสติกแบบทนเคมี https://www.kvjunion.com/contact-us

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลาสติกแบบทนเคมี

บริษัท เค.วี.เจ. ยูเนี่ยน จำกัด
70 ถนนพระรามที่ 3
แขวงบางคอแหลม
เขตบางคอแหลม
กรุงเทพฯ 10120

T: 02 289 1996
F: 02 292 1223
E: sales@kvjunion.com
LINE: @tul2062b

Add Line

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Thailand Packaging Industry Expected to Grow

อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย

คาดว่าจะเติบโตด้วยอัตรา CAGR ที่ 6.41% และมีมูลค่าสูงถึง 11.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016

รายงานนี้นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึก ข้อมูล และการวิเคราะห์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย โดยประกอบไปด้วย:

  • ข้อมูลมูลค่าปัจจุบัน ประวัติ และการคาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย รวมถึงในแต่ละหมวดหมู่บรรจุภัณฑ์
  • การวิเคราะห์เชิงลึกที่ครอบคลุมตลาดอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย พร้อมกับการเปรียบเทียบกับตลาดหลักอื่นๆ
  • คำอธิบายและการวิเคราะห์ของหมวดหมู่บรรจุภัณฑ์และตลาดผู้ใช้ปลายทางในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โดยรวม
  • การวิเคราะห์ “Five Forces” ของ Porter ครอบคลุมทุกหมวดหมู่บรรจุภัณฑ์และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์โดยรวม

บรรจุภัณฑ์พลาสติก ฝา ช้อน ถ้วยตวง

อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยมีการเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยอัตรา CAGR 8.21% โดยได้รับการสนับสนุนจากการเติบโตของการส่งออกอาหารและการเข้ามาของคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดภายในประเทศ ภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความต้องการส่งออกและการเข้าถึงวัตถุดิบที่ง่าย ในช่วงเวลาที่คาดการณ์ อุตสาหกรรมคาดว่าจะเติบโตที่อัตรา CAGR 6.41% และมีมูลค่าถึง 11.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2016 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตในช่วงคาดการณ์จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัทบรรจุภัณฑ์ไทย

ขอบเขตของรายงาน

  • รายงานนี้ครอบคลุมการวิเคราะห์เชิงลึกของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย
  • ให้ข้อมูลมูลค่าทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในช่วงปี 2007–2011 และคาดการณ์สำหรับช่วงปี 2012–2016
  • นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกในหมวดหมู่หลักของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทย พร้อมการคาดการณ์ตลาดจนถึงปี 2016
  • อธิบายปัจจัยมหภาคต่างๆ ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย
  • ให้ภาพรวมของแนวโน้มหลักและตัวขับเคลื่อนที่มีผลกระทบต่อตลาดผู้ใช้ปลายทางในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์
  • ใช้การวิเคราะห์ “Five Forces” ของ Porter เพื่อวิเคราะห์สภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย
  • ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรอบกฎหมายปัจจุบันในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทย

เหตุผลในการซื้อ

  • ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์และคาดการณ์ตลาดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทย
  • เข้าใจแนวโน้มตลาดหลักและโอกาสในการเติบโตในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทย
  • ประเมินสภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์
  • ค้นหาโอกาสในการเติบโตและพลวัตใน 5 หมวดหมู่หลักของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์
  • ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกฎระเบียบที่สำคัญที่ควบคุมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย

ไฮไลท์สำคัญ

  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยมีความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวได้และบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะสูง
  • ตลาดผู้ใช้ปลายทางในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นสัดส่วน 76% ของตลาด ในขณะที่ภาคเภสัชกรรมคิดเป็น 10%
  • รัฐบาลไทยได้ออกมาตรฐานระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์อาหารและการติดฉลาก เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
  • ภูมิทัศน์การแข่งขันในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทยมีความแตกต่างกันในแต่ละหมวดหมู่วัสดุ
  • อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไทยยังเผชิญกับการแข่งขันสูงจากการส่งออกของประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย

Credit: prweb.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

PET Plastic Information

PET Plastic Information: Characteristics of PET

Polyethylene Terephthalate Plastic Containers

PET

Other Characteristics of PET

PET (Polyethylene Terephthalate) Plastics are generally clear, tough and are a good barrier to gas and moisture. PET also has a good resistance to heat.

PET for Packaging

PET is a good choice for product packaging because of its many desirable characteristics. PET is available in a wide range of colors shapes and sizes. Darker colored PET plastic containers may be best for blocking UV rays from light sensitive materials. PET is highly resistant to dilute acids, oils, and alcohols.

Recycling

PET can be identified easily by locating its recycling code symbol. PET is denoted by the familiar triangular shaped arrows with the number 1 in the center. PET can be recycled into many other products besides bottles and jars, other recycled PET products include ski coat fibers, fleece vest as well as sleeping bag lining.

PET’s Role in History

PET has been used for more then just bottles throughout the years. During WWII it was used as a coating for underwater cables. PET lightweight nature made it a great material to use to insulate radars, which helped to reduce the weight of the radars.

Credit: sks-bottle.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์แบบปล่อย Free-range organic egg

การเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์แบบปล่อยไข่ไก่อินทรีย์แบบปล่อยอิสระ (Free-range organic egg) หรือ “Happy chick”

บทนำ: ทำไมต้องเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อย?
ในปัจจุบัน แนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคไข่ไก่ ผู้บริโภคเชื่อว่าการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารควรเป็นไปอย่างมีมนุษยธรรมและเมตตา การเลี้ยงไก่ไข่ในกรงตับ (caged system) ซึ่งทำให้ไก่ต้องอาศัยในพื้นที่แคบ ๆ ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การคลุกฝุ่น การคุ้ยเขี่ย หรือการไข่ในรัง ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อสัตว์ จากรายงานของ CWIF (2006) พบว่าไก่ที่เลี้ยงในกรงตับมักมีปัญหาสุขภาพ เช่น กระดูกเปราะ เท้าและเล็บผิดปกติ ข้อต่อขาเสื่อม ทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน

จากการศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน สหภาพยุโรปได้ออกกฎหมายห้ามการเลี้ยงไก่ไข่ในกรงตับ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งส่งผลให้ห้างร้านต่าง ๆ หยุดซื้อไข่ไก่ที่มาจากกรงตับ ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง เช่น สหรัฐอเมริกา เริ่มมีการประกาศกฎหมายในลักษณะเดียวกัน รวมถึงมีการติดฉลากบอกแหล่งที่มาของไข่ เช่น ไข่จากการเลี้ยงแบบปล่อย (Free-range egg) หรือไข่อินทรีย์แบบปล่อย (Free-range organic egg)

นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

นิปเปิ้ลให้น้ำไก่

การเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อย (Free-range system) หมายถึงการเลี้ยงไก่ในพื้นที่ที่เปิดกว้าง มีหญ้าปกคลุมและให้ไก่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การคลุกฝุ่น การจิกกินพืชและแมลง ทำให้ไก่มีความสุขและอารมณ์ดี จึงถูกเรียกว่า “Happy chick” สหภาพยุโรปกำหนดให้การเลี้ยงไก่แบบปล่อยต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 4 ตารางเมตรต่อไก่หนึ่งตัว และต้องมีพืชปกคลุมดิน พร้อมจัดคอนนอนและรังไข่ให้เพียงพอต่อจำนวนไก่

การเลี้ยงไก่แบบปล่อยนี้ยังสอดคล้องกับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ซึ่งช่วยให้ไก่มีสุขภาพดี มีภูมิต้านทานโรคตามธรรมชาติ ลดการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมี ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้บริโภค ไข่ไก่อินทรีย์แบบปล่อยสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าไข่จากระบบปกติหลายเท่า

สวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare)
หมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์ โดยคำนึงถึงทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของสัตว์ หลักสวัสดิภาพสัตว์มีแนวทางปฏิบัติเพื่อให้สัตว์มีสุขภาพที่ดีและไม่เครียด ซึ่งเรียกว่า “เสรีภาพ 5 ประการ” (FAWC, 2005) ได้แก่:

  1. สัตว์ต้องปราศจากความหิวและกระหาย – จัดหาอาหารและน้ำสะอาดเพียงพอ
  2. สัตว์ต้องปราศจากความไม่สะดวกสบาย – จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สะดวกสบาย
  3. สัตว์ต้องปราศจากความเจ็บปวดหรือโรคภัย – ป้องกันและรักษาหากเกิดการบาดเจ็บหรือป่วย
  4. สัตว์ต้องได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ – มีพื้นที่เพียงพอและอุปกรณ์ที่จำเป็น
  5. สัตว์ต้องปราศจากความกลัวและความกังวลใจ – จัดการเลี้ยงดูให้หลีกเลี่ยงความทุกข์ทางจิตใจ

หลักการดังกล่าวนำไปสู่การจัดการเลี้ยงสัตว์ที่ดี (Good animal husbandry practices) เช่น การจัดอาหารคุณภาพ สภาพแวดล้อมที่สะอาด และการปล่อยสัตว์ให้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมสุขภาพสัตว์ให้ดี เช่น อาหารดี อากาศดี อนามัยดี ออกกำลังดี และอารมณ์ดี

ประเด็นด้านความเสี่ยงจากโรค
การเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยมีความเสี่ยงต่อโรคไข้หวัดนกจากนกป่า อย่างไรก็ตาม หากจัดการเลี้ยงดูให้ไก่แข็งแรงและมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติ จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ ขณะที่การเลี้ยงไก่แบบอุตสาหกรรมซึ่งมีการเลี้ยงอย่างหนาแน่นและใช้พันธุกรรมที่ให้ผลผลิตสูงมีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคมากกว่า เนื่องจากไก่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเกิดการแพร่กระจายของโรคได้ง่าย

การเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยนอกจากจะตอบสนองต่อความต้องการด้านสวัสดิภาพสัตว์ ยังช่วยให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงและลดการใช้สารเคมีในการเลี้ยง ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้บริโภค

รายละเอียดนิปเปิ้ลให้น้ำไก่

ผลิตจากเนื้อพลาสติก POM มีความทนทานสูง ทนทานต่อกรด ด่าง รวมทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ติดตั้งง่าย ประกอบใช้งานเร็ว รับผลิต พร้อมระบุอัตราการไหลของน้ำตามต้องการ

  • ผลิตจากเนื้อพลาสติก POM มีความทนทานสูง
  • ระบบลูกปืน และสลักล่างเป็น Stainless แท้ ทั้งชิ้น
  • ทนทานต่อกรด ด่าง รวมทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อโรคต่างๆ
  • ติดตั้งง่าย ประกอบใช้งานเร็ว
  • มียาง O-Ring ป้องกันน้ำรั่วโดยไม่ต้องพันผ้าเทป
  • รับผลิต พร้อมระบุอัตราการไหลของน้ำตามต้องการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →
Page 2 of 2 12